กติกา หน้าที่ เป้าหมาย ผลลัพธ์และผลกระทบ
ผู้เขียนได้มีโอกาสสนทนา กับอดีตนายธนาคารของรัฐ ผู้บริหารชั้นต้น/ผู้บริหารระดับสูงของธนาคารกลาง อดีตผู้บริหารกองทุน คนรุ่นใหม่เจ้าของธุรกิจร้านอาหาร และหัวหน้าหน่วยงานวิจัยระดับประเทศ ได้เข้าไปฟัง Clubhouse ซึ่งมีบทสนทนาของคุณหมอข้าราชการน้ำดี สุภาพ มีภูมิรู้ มีความเป็นแพทย์ด้านระบาดวิทยาในทางปฏิบัติหน้างานจนถึงระดับการบริหารจัดการพื้นที่ เข้ามาตอบคำถามปนอารมณ์ของผู้คนที่ออกอาการเหวี่ยง แถมด้วยต้องอรรถาธิบายกับฟากฝั่งนักการเมืองที่หลุดใช้วาจาอันอาจเชื่อด้วยความสุจริตใจได้ว่าคุกคามความเห็นต่างแบบอ้างคิดแทนประชาชน (… คุณต้องฟังผมและกร้าวให้คุณหมอต้องขอโทษ) โดยที่ประชาชนแบบผมพยายามจะกดไมค์เข้าไปบอกว่า ท่านไม่ต้องคิดและพูดแทนผม อย่าอ้างผม ท่านไม่ใช่ตัวแทนของผม ผมคิดเองเป็น เมื่อได้กลับมานั่งตกผลึกข้อมูลด้วยตนเองวันที่ต้องอยู่บ้านเพราะเห็นตัวเลขผู้ติดเชื่อโควิด-19 ใกล้แตะหมื่นคนแล้ว จึงเริ่มเขีบนบทความนี้ ตามขอบเขตความรู้ที่ตนเองพอจะมีดังนี้
1.ในการแก้ไขปัญหาทางการเงินและให้ระบบมันพอจะเคลื่อนไปปะทะสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนนั้น เราจะเจอกับการทำหน้าที่ของส่วนต่าง ๆ แต่ทำไมตอนจะกลายเป็นผลลัพธ์มันกลับไม่ได้ดังหวัง การทำหน้าที่ตามกติกาบวกความตั้งใจที่จะไปสู่เป้าหมายแต่ผลลัพธ์ไม่เกิดขึ้น แรงกระแทกให้เกิดพลังกลับแป้ก
2. ตัวอย่างเช่น เกณฑ์การให้สินเชื่อของเราที่กติกากำหนดบอกว่าต้องดูรายได้ ต้องมี cash flow เป็นบวก พร้อมกับดูรายงานเครดิตบูโรว่ามีการผิดนัดชำระอย่างไร สถานะทางบัญชีของเดือนปัจจุบันในทุกบัญชีเก่าของผู้ยื่นขอกู้ต้องใสสะอาดขนาดไหน มันทำให้การให้สินเชื่อในช่วงนี้แทบจะไม่ได้เลยในบางกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ บางกลุ่มที่กำลังหมดแรง (สีส้ม) หรือแม้แต่บางกลุ่มที่หมดลมยอมแพ้ไปแล้ว (สีแดง)
3. อาการตามข้อ 2 มีความรุนแรงกี่มากน้อยก็พอจะคิดได้ในหมู่สถาบันการเงินที่รัฐเป็นเจ้าของเพราะคนทำงานนอกจาก
3.1) เกิดอาการกลัว เกิดอาการเกร็งจากการที่ผู้ตรวจสอบจะให้ความเห็นในรายงานต่าง ๆ ที่อิงกติกาบนลายลักษณ์อักษรที่ร่างและใช้กันมาแต่ในอดีต ผลของการกลัวผู้ตรวจสอบให้ความเห็นไม่ว่าจะเป็น จำนวนครั้งการปรับโครงสร้างหนี้ สมมุติฐานของการประมาณการรายได้ สถานะทางบัญชีสินเชื่อ ประวัติการชำระในอดีต ผลขาดทุนทางบัญชีในงบการเงินที่ใคร ๆ ก็รู้ว่ามันมีความคลาดเคลื่อนพอสมควร เนื่องจากอาการกลัวเสียภาษีของคนค้าขาย ยิ่งถ้าเลยไปอิงถึงการให้สินเชื่อที่พึงคาดได้ว่าจะไม่ได้รับชำระคืนแล้วล่ะก็ เป็นอันจบข่าว เพราะคนทำเรื่องสินเชื่อเขาก็กลัว กฎหมายมาตรา 157 (ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่) หรือเปล่าขณะที่คนตรวจก็กลัวว่าตนเองจะเจอ กฎหมายมาตรา 157 เหมือนกันถ้าไม่เขียนกันตนเองออกมาก่อน สุดท้ายก็จะไม่มีใครยอมเอาตนเองครอบครัวอนาคตมา มีโอกาสเดือดร้อนแม้ลูกค้าจะได้รับประโยชน์ขึ้นมาบ้าง มันจึงมีแต่เรื่องของฉัน เรื่องของเธอ มันไม่มีเรื่องของเราในสมการแก้ไขความท้าทายที่รอเราอยู่ สถานการณ์นี้จึงอาจเรียกได้ว่า เป็นไปตามยถากรรมโดยแท้
3.2) ผมขอยกเอาคำของนายธนาคารกลางซึ่งเป็นแนวหน้าในมาตรการสำคัญมาสื่อต่อกับท่านผู้อ่านดังนี้ครับ ความว่า… เรื่องนี้ผมคิดว่าเป็นปัญหาของชาติที่ต้องเร่งแก้ไข วันนี้ถ้าเทียบกับช่วงก่อน ๆ ครัวเรือนและธุรกิจ เงินเก็บ/wealth แทบที่จะไม่เหลือแล้ว ถ้าเราไม่สามารถมองโลกให้เห็นตามข้อเท็จจริงว่า ระบบการให้สินเชื่อแบบ risk based impaired อยู่ในปัจจุบัน หลายเรื่องจะไปต่อไม่ได้ หรือไปต่อได้ยากมาก ถ้าผู้คน/ธุรกิจไม่ได้เงินใหม่ตอนนี้ก็เหมือนคนไข้ที่ขาดเลือดรออยู่แค่ว่าจะชีพจรตก และช็อกวันไหนเท่านั้น
ถ้าเราจะช่วยชาติในตอนนี้ต้องพยายามทำให้สองเรื่องเกิดขึ้น (1) การปรับโครงสร้างหนี้และไกล่เกลี่ยหนี้อย่างเป็นธรรม (2) การผลักดันให้มีการให้สินเชื่อใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจโดยเร็วที่สุดและทันท่วงที
3.3) หลักประกัน ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากในระบบการเงินมาตั้งแต่ในอดีตที่แต่เดิมผู้กู้และผู้ให้บริการไม่รู้จักกันความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกันนั้นมีไม่มาก หลักประกันกลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ถูกนำมาใช้เพื่อทำให้ผู้ให้บริการยอมที่จะให้สินเชื่อแก่ผู้กู้
ในบริบทที่ความเสี่ยงในระบบการเงินปรับสูงมากอย่างเช่นในช่วงโควิด-19 ระบาด ที่การประเมินความเสี่ยงหรือการคาดการณ์อนาคตอย่างชัดเจนและมั่นใจแทบจะไม่สามารถทำได้เลย หลักประกันกลับมามีความสำคัญมากอีกครั้งหนึ่งในฐานะที่จะเป็นเครื่องมือสร้างความมั่นใจให้ผู้ให้บริการยอมที่ให้สินเชื่อใหม่แก่ผู้กู้
อย่างไรก็ดีในการนำหลักประกันของผู้กู้มาค้ำประกันเงินกู้ ผู้ให้บริการจำเป็นต้องดำเนินการด้วยความโปร่งใส มีเหตุมีผล และตรงไปตรงมา การประเมินราคาควรจะใช้ราคาที่สอดคล้องกับราคาตลาดที่ใกล้เคียงราคาที่แท้จริงมากที่สุด หรือจะต้องเป็นราคาที่ทั้งสองฝ่ายได้ตกลงร่วมกัน ทั้งนี้ในการประเมินราคาหลักประกันผู้ให้บริการจำเป็นต้องคำนึงถึงภาระที่จะเกิดขึ้นกับผู้กู้ด้วย และในกรณีที่ต้องมีการวางหลักประกันไว้กับผู้ให้กู้อาทิ โฉนดที่ดิน หรือ ทะเบียนรถ ผู้ให้บริการจำเป็นต้องจัดเก็บเอกสารสำคัญดังกล่าวไว้เป็นอย่างดีไม่ให้เกิดความเสียหาย
ทั้งนี้ ในกรณีผู้กู้ได้ชำระหนี้ที่ได้ยืมมาในระดับหนึ่งแล้ว เช่นเดิมกู้เงิน 1 ล้านบาทและได้ใช้หลักทรัพย์ 1 ล้านบาท ประกันการกู้ยืม ต่อมาผู้กู้ได้ชำระหนี้มาอย่างต่อเนื่องจนหนี้เหลือ 2 แสนบาทหรือเพียง 20% ของหลักประกัน ในกรณีที่ลูกหนี้ต้องการสินเชื่อเพิ่มเติ่มลูกหนี้ต้องสอบถามผู้ให้บริการเป็นรายแรกก่อนว่าต้องการที่จะให้สินเชื่อเพิ่มเติมหรือไม่ ในกรณีผู้ให้บริการไม่ต้องการจะให้สินเชื่อเพิ่มเติม ผู้กู้สามารถนำหลักประกันดังกล่าวไปขอสินเชื่อจากแหล่งอื่น โดยสามารถนำไปจำนองลำดับ 2 ที่สถาบันการเงินอื่นได้ (ผู้เขียน : อันนี้ต้องไม่ให้ผู้บริการรายแรกขัดขวางหรือขัดข้อง ซึ่งมันก็มีประเด็นความยินยอม การยึดหน่วงของเจ้าหนี้เข้ามาเกี่ยวพัน) หรือสามารถเข้าถึงแหล่งเงินสินเชื่อละมุนนุ่ม หรือ Soft loan ที่ออกมาช่วยเหลือได้ โดยเมื่อผู้กู้ได้ชำระหนี้ให้แก่ผู้ให้บริการตามที่ได้ตกลงกันแล้ว ผู้ให้บริการต้องคืนหลักประกันให้แก่ผู้กู้ทันที หรือโดยเร็วที่สุด ไม่เกินกว่า 7 วัน ในกรณีที่ไม่สามารถคืนหลักประกันดังกล่าวให้แก่ผู้กู้ได้ ผู้ให้บริการจะต้องชดเชยความเสียหายหรือค่าเสียประโยชน์ที่ผู้กู้จะได้รับจากการนำหลักประกันดังกล่าวไปใช้ประโยชน์
การให้สินเชื่อโดยยึดเอาหลักประกันเป็นเกณฑ์นั้น อาจเป็นที่ขัดอกขัดใจกติกา เพราะลึก ๆ ในใจเรากลัวผีปี 2540 เรากลัวคณะกรรมการค้นหาข้อเท็จจริงฯ ที่จะมาพิสูจน์ทราบความเสียหาย (ถ้ามีและถ้ามีคนร้อง) ซึ่งคนที่กลัวเขาก็มีสิทธิ์ที่จะกลัวเหตุเพราะอีกสองสามปีก็เกษียณแล้ว จะทำไปเพื่อเป็นปมความเสี่ยงทำไม ตัวอย่างก็มีให้เห็นแล้ว ผู้เขียนมองไปจึงเห็นแต่ กติกา หน้าที่ เป้าหมาย ผลลัพธ์และผลกระทบ ที่แต่ละส่วนได้ลงมือทำตามความเชื่อของตนว่าดีและปลอดภัยที่สุด ทุกคนรวมทั้งผู้เขียนอาจจะคิดคล้าย ๆ กันว่า วิกฤตินี้ก็จะผ่านไปเหมือนวิกฤติอื่น มันก็ทำได้เท่านี้แหละ เดี๋ยวก็เคลียร์กันไปได้เอง หนักกว่านั้นคือ ให้เวลามันเยียวยาทุกสิ่ง แต่ที่ต่างนิดหนึ่งในความคิดของผู้เขียนคือ การไม่ทำอะไรที่ต่างและมากพอคือเครื่องมือในการแก้ไขในเวลานี้ ในเวลาข้างหน้าเราจะไม่เหลืออะไรให้เคลียร์ เราจะเห็นแต่คนที่มีแผลเป็นทางเศรษฐกิจ เราจะเห็นแต่ความเหลื่อมล้ำ เราจะเห็นคนที่มีศักยภาพไปอยู่ต่างประเทศ ทำงานกับทุนต่างชาติ ความมั่นคงทางด้านอาหารของเราจะอยู่ในมือของกลไก supply chain ของใครก็ไม่รู้ เราจะเห็น SMEs สายพันธุ์ไทยแท้แบบ Stand Alone ที่พิการบาดเจ็บ แบกหนี้มาก สุดท้ายเราจะเห็นคนทำงานในเมืองกลับคืนถิ่นแต่ทำเกษตรกรรมได้ยาก ถึงยากมากเพราะทุนทางปัญญามันขาดวิ่นไปแล้ว สุดท้ายของสุดท้ายเราอาจจะได้เห็น วัฒนธรรมใหม่ในการขับเคลื่อนทุกอย่างของบ้านเมืองนี้ที่ใช้การด่า ด้อยค่ามันให้มากสุดด้วยการด่าและด่า เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ตอบโจทย์ของตนเอง กลุ่มของตนเอง การขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ สังคม และการเมืองด้วยการด่าทอ คือนวัตกรรมไทยที่ตัวผู้อ่านคาดว่าจะเห็นเป็นการถาวรในช่วงอยู่กับโควิด-19 ตอนนี้ และโลกหลังโควิด-19 ในวันหน้า
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามครับ