กู้ตอนโควิด-19 เริ่มคือ 2% กู้ต่อเพลานี้เจอดอกเบี้ยปกติเฉลี่ย 6-7%
ผู้เขียนได้เคยมีความเห็นเป็นคำถามในบทความก่อนหน้าว่า เมื่อโครงการเงินกู้ละมุนนุ่มครบกำหนด 2 ปีแล้ว แหล่งเงินจากธนาคารกลางที่คิดดอกเบี้ย 0.01% ก็ต้องชำระคืนโดยสถาบันการเงินที่เอามาปล่อยต่อในเวลาตอนโควิดเริ่มต้นเมื่อประมาณเดือนมีนาคม-เมษายน 2563 ถ้าเราจำกันได้ สถาบันการเงินจะปล่อยต่อแก่ลูกค้ารายที่ผ่านการพิจารณาด้วยดอก 2% วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว 2 ปีมาแล้วที่ต้องอยู่ท่ามกลางความไม่แน่นอน บัดนี้เมษายน 2565 ลูกหนี้ที่กู้เงินกู้ละมุนนุ่มก็จะเริ่มครบกำหนดชำระหนี้แล้ว มันมีคำถามตลอดเวลาที่ผ่านมาว่า ถ้ายังคืนเงินกู้ละมุนนุ่มให้กับสถาบันการเงินเจ้าหนี้ไม่ได้ แต่เจ้าหนี้ต้องคืนเงินธนาคารกลาง เพราะกฎหมายมันกำหนดแบบนั้น เจ้าหนี้ก็ต้องนำเอาแหล่งเงินของตนเองมาให้กู้ต่อที่เราเรียกกันว่า Rollovers ตามต้นทุนปัจจุบันใช่หรือไม่ ก็ต้องมีการประเมินค่าความเสี่ยงของลูกหนี้รายที่ยังคืนไม่ได้และประสงค์จะต่ออายุสินเชื่อออกไปอีกใช่หรือไม่ แล้วที่ผู้เขียนตั้งคำถามในบทความที่แล้วก็คือ สถาบันการเงินเจ้าหนี้จะคิดดอกเบี้ยเท่าไหร่ และคนกู้จะไหวไหม
เมื่อช่วงหยุดยาวสงกรานต์ก็ปรากฏข่าวออกทางสื่อค่อนข้างชัดเจน ตามคำกล่าวของผู้บริหารสถาบันการเงินก็ให้ข้อมูลตามข่าวชัดเจนว่าดอกเบี้ยที่จะคิดคือ
“….. ขณะนี้ลูกค้าธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ที่เข้าโครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (ซอฟต์โลน) กำลังจะทยอยครบกำหนดชำระหนี้ในเวลา 2 ปีโดยจะต้องชำระเงินคืนตามพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) การให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบการวิสาหกิจที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ของธนาคารแห่ง ประเทศไทย (ธปท.) ที่มีการให้สินเชื่อเมื่อปี 2563 หลังเกิดสถานการณ์ของการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ล่าสุดมีบรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) เข้ามาช่วยดูแลต่อ โดยจัดทำโครงการ “ซอฟต์โลน เอ็กซ์ตร้า พลัส” วงเงิน 9 หมื่นล้านบาทค้ำประกันเพิ่มเติม โครงการนี้รัฐบาลช่วยค่าธรรมเนียมค้ำประกัน 0.75% ต่อปี นานเป็นเวลา 2 ปี ดังนั้น ลูกค้าจะเสียค่าธรรมเนียมการค้ำประกันสินเชื่อเพียง 1% ต่อปี เป็นเวลา 2 ปี ซึ่งโครงการนี้จะเริ่มในปลายเดือน เมษายนนี้เป็นต้นไป ผู้ประกอบการที่สินเชื่อจะทยอยครบกำหนดชำระหนี้ซอฟต์โลนตั้งแต่เดือน เมษายนนี้ หากลูกค้ายังไม่สามารถกลับมาชำระหนี้ได้จะเข้าโครงการใหม่ของ บสย. ที่จะเป็นการขออนุมัติวงเงินสินเชื่อใหม่ เพื่อนำไปชำระหนี้ ธปท. ตามกำหนด (ผู้เขียน : กล่าวคือลูกหนี้ก็ยื่นขอกู้ใหม่ เมื่อได้รับอนุมัติ สถาบันการเงินก็เอาเงินไปคืนแหล่งเงินจากธนาคารกลาง ตัวลูกหนี้ก็มาเป็นลูกหนี้ตรง ๆ กับสถาบันการเงินที่อนุมัติสินเชื่อนั้น) ขณะที่ลูกค้าที่มีหลักประกันก็สามารถจดจำนองหลักประกันเพิ่มเติม
โดยธนาคารจะมีการปรับคิดอัตราดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเป็นอัตราปกติในส่วนของสินเชื่อที่ครบกำหนด 2 ปี โดยหากเป็นกลุ่มลูกค้า SMEs ดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 6-7% ต่อปี และลูกค้าขนาดใหญ่จะคิดดอกเบี้ยเฉลี่ยอยู่ที่ 4-5% ต่อปี…..”
ท่านผู้อ่านคงจะคิดเลขได้แบบผู้เขียนนะครับว่า
- สถานการณ์ของเรื่องไวรัสโควิด-19 มันยังไม่จบ แม้ว่าจะมีหลายประเทศดำเนินการไปในลักษณะของโรคประจำถิ่นแล้ว
- มีสถานการณ์ใหม่ออกมาคือความขัดแย้งของต่างประเทศ ส่งผลให้ราคาน้ำมันแพง ต้นทุนถูกส่งผ่านมากระทบอัตราเงินเฟ้อ อย่างน้อยก็ปี 2565 นี่แหละที่จะโดนกันเต็ม ๆ
- กำลังซื้อของผู้คนดูจะไม่ค่อยดีในหมู่ผู้มีรายได้ไม่มาก อันเป็นผลจากภาระหนี้สินภาคครัวเรือนที่ลากยาวกันมาหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว
- มาตรการกีดกันทางการค้าที่อาจจะแฝงมาในรูปของการรักษาสิ่งแวดล้อม การดูแลสภาพภูมิอากาศ การลดโลกร้อน การแก้ไขปัญหาโลกรวน มันจะทำให้การค้ากับต่างประเทศมีเงื่อนไขที่ยากขึ้น
- ต้นทุนเพิ่มขึ้นอีกหรือไม่กับการปฏิบัติตามเงื่อนไขของกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่อุดมไปด้วยต้นทุนยิบย่อยในการปฏิบัติ ใครไม่ทำจะไม่รู้ว่าหากเจอลูกค้าศรีธนชัยเข้าไปแล้วจะประมาณไหน
- ต้นทุนดอกเบี้ยที่เพิ่มจาก 2% ต่อปี มาเป็น 6-7% ต่อปี ตามข้อมูลที่แจ้งมาข้างต้น บวกด้วยต้นทุนค้ำประกันที่ต้องออกเองอีก 1% ต่อปี คือต้นทุนทางการเงินเพิ่ม 5-6% ต่อปี นะครับ ท่านผู้อ่านคิดว่า SMEs จะไหวมั้ยในเวลานี้
สถานการณ์ยังไม่ปกติคือกำลังรอไปสู่ปกติ แต่มีโรคแทรกซ้อนจากราคาน้ำมัน ไข้หนี้ครัวเรือนยังไม่สร่าง แต่ต้องบริจาคเลือดคือเงินสดจ่ายดอกเบี้ยในอัตราปกติ
เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้…สาธุ สาธุ สาธุ