ตัวอย่างเล็กๆที่เป็นความจริงแต่มีการสื่อสารคลาดเคลื่อน
ข้อเขียนวันนี้ผู้เขียนขอสะท้อนสิ่งที่เกิดขึ้นจริง จากผลกระทบของการแพร่ระบาดไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ไวรัสโคโรนา ที่ทำให้นักท่องเที่ยวจากแทบทุกสารทิศที่เคยเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวในย่านนี้ลดหายไปเป็นจำนวนมาก
แน่นอนว่านักท่องเที่ยวชาวจีนคือแหล่งที่มาของรายได้จำนวนมหาศาลได้ลดลงชนิดที่เรียกว่าทำเอาสนามบินเงียบเหงา ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ภัตตาคาร ร้านอาหาร แหล่งบันเทิง สถานที่ท่องเที่ยว ร้านขายของ ท้ายที่สุดคือธุรกิจการขนส่ง โดยผู้ประกอบการขนส่งโดยสารสาธารณะได้สะท้อนปัญหาผ่านหน่วยงานเพื่อขอให้หน่วยงานที่เคยเป็นผู้กำกับดูแลได้ปรับบทบาทมาเป็นผู้ช่วยเหลือแก้ไขปัญหา ผู้เขียนจึงขอยกเอาข่าวที่ผู้ประกอบการในแหล่งท่องเที่ยวทางภาคใต้ เช่น ภูเก็ต ได้สะท้อนมาดังนี้
… ตั้งแต่วันที่ 27 ม.ค. เป็นต้นมา นักท่องเที่ยวชาวจีนหยุดเข้ามาท่องเที่ยว ทำให้ในส่วนรถบัส-รถตู้ มีรายได้น้อยลงไปมากจริงๆ ไม่มีเงินหมุนเวียน มีแต่ติดลบ ตัวอย่างเช่น กู้มา 5 ล้านบาท ผ่อนชำระเดือนละแสนกว่าบาท เมื่อขาดรายได้ “ทำให้เกิดปัญหากับเครดิตบูโร”
ทางกลุ่มผู้ประกอบการรถโดยสารสาธารณะ คาดว่า นักท่องเที่ยวชาวจีน อาจกลับมา ในเดือนสิงหาคมนี้ถ้าทุกอย่างจบลงโดยเร็ว ในระหว่างช่วงเวลานี้อยากขอให้พิจารณาปัญหาที่เกี่ยวข้องทั้งกระแสเงินหมุนเวียน ขอสนับสนุนสินเชื่อต่างๆ การยืดระยะเวลาจ่ายค่าประกันสังคมของนายจ้างลูกจ้าง การทำประกันภัยรถยนต์โดยขอลดเบี้ยประกันภัยรถ ในช่วงนี้ และถ้าภาครัฐเร่งแก้ปัญหาโดยกระตุ้นเศรษฐกิจในทางใดทางหนึ่งให้เดินหน้ากันต่อไปได้ในสภาวะที่ยังคงต้องเป็นแบบนี้ไปอีกสักพัก….
ผมสะดุดกับคำว่า “ทำให้เกิดปัญหาเครดิตบูโร” ซึ่งคำว่าเครดิตบูโรมันเป็นคำนามที่ระบุชื่อหรือประเภทสถาบัน มันไม่ใช่คำที่บอกถึงลักษณะของปัญหา จริงแท้แล้วการที่มีรายได้ลดมาก เงินเข้าลดแต่รายจ่ายส่วนที่ต้องจ่ายออกไม่ลดตาม จึงเป็นที่มาของ สภาพคล่องลด เงินที่จะเตรียมไปชำระหนี้ต้นและดอกเบี้ยที่เคยสัญญาไว้มันจะทำได้ยาก สิ่งที่ผู้ประกอบการกังวลคือ
1.จ่ายต้นและดอกเบี้ยตามค่างวดที่ต้องผ่อนส่งเงินกู้ไม่ได้
2.เจอเบี้ยปรับการชำระหนี้ล่าช้า ดอกเบี้ยปกติถูกปรับไปเป็นดอกเบี้ยผิดนัดชำระหนี้
3.ประวัติผิดนัดชำระหนี้ก็จะเกิดและถูกสถาบันการเงินเจ้าหนี้ส่งข้อมูลตามความเป็นจริงนี้เข้าสู่ระบบมาที่สถาบันชื่อเครดิตบูโรตามที่กฎหมายกำหนด
4.ประวัตินี้จะหายไปเมื่อ
4.1มีการชำระหนี้ที่ค้างชำระเสร็จสิ้นและ
4.2ครบระยะเวลาที่กฎหมายกำหนดให้จัดเก็บภายในเวลา 3ปี
5.ประวัตินี้จะส่งผลต่อการยื่นขอสินเชื่อในอนาคต เพราะมันได้แสดงถึงขีดความสามารถของตัวลูกหนี้ในการชำระหนี้
มาถึงตรงนี้ ผมจึงอยากขอเสนอความเห็นให้สอดคล้องกับสิ่งที่ทางภาครัฐกำลังให้ความช่วยเหลือดังนี้นะครับ
(1)ผู้ประกอบการที่รู้ว่าตัวเองมีผลกระทบให้รีบติดต่อเจ้าหนี้แล้วยื่นขอปรับโครงสร้างหนี้ ปรับตารางการชำระหนี้ใหม่ ลดยอดที่ต้องส่งเงินงวดชำระหนี้ลงมา ถ้าเลวร้ายสุดอาจต้องขอแขวนต้นพักชำระหนี้แต่ขอจ่ายแต่ดอกเบี้ยในอัตราผ่อนปรนเพื่อรักษาสถานะว่า ยังคงเป็นหนี้ปกติ ไม่มีการผิดนัดชำระหนี้
(2)การขอกู้ยืมเพิ่มเติมในเวลานี้จะค่อนข้างยาก ถึงยากมาก ดังนั้นต้องใช้ตัวช่วยคือการขอให้บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม หรือ บสย.ช่วยค้ำประกัน โดยเอาประวัติการชำระหนี้ที่ครบ ที่ตรงในอดีตมาเป็นข้อมูลยืนยันว่าไม่ได้เป็นคนที่มีปัญหาแต่ประการใด
(3)ขออย่าเอาแต่เรียกร้องให้ใครมาช่วยอย่างเดียว ต้องช่วยตัวเองด้วย อะไรที่เราต้องทำ อย่าเกี่ยงว่าหลวงท่านต้องทำให้ก่อนสิ ทำอะไรได้ก่อนให้รีบทำ เมื่อทำหน้าที่บทบาท”นักร้อง” จบแล้วก็ต้องต่อด้วย”นักปฏิบัติ” อย่าทำตัวเป็น”นักรอหรือนักบ่น” และสุดท้ายนะครับ อย่าทำตัวเป็น”นักเลง” ถ้าไม่ได้ในสิ่งที่ตนเองต้องการ หรือได้แต่ได้ไม่หมดเท่าที่ตัวเองเสนอ เพราะในการทำธุรกิจหรือลงทุนทำธุรกิจในโลกของการค้าเสรีแบบทุนนิยมคือ การลงทุน(ทำธุรกิจ)มีความเสี่ยง ผู้ลงทุน(คนทำธุรกิจ)ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนการตัดสินใจ
Life is unfair… ขอบคุณครับ