ข่าวเครดิตบูโร 004/2567
ปรับโครงสร้างหนี้ เมษายน พุ่ง 9 หมื่นล้านบาท 1.3 แสนบัญชี
23 มิถุนายน 2567 : นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า การปรับโครงสร้างหนี้ของครัวเรือนไทยที่ผ่านมาว่าข้อมูลว่าด้วยเรื่องการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน ป้องกันอะไร ป้องกันจากการตกชั้นจากบัญชีสินเชื่อที่กล่าวถึงเป็นพิเศษหรือ SM หรือบัญชีหนี้ที่กำลังจะเสียกลายไปเป็นหนี้เสียหรือ NPLs นั่นเอง
- ในอดีตตั้งแต่ก่อนเกิดการระบาดของ covid-19 หรือในระหว่างเกิดวิกฤติ covid-19 ในกรณีที่บัญชีสินเชื่อใดก็ตามเริ่มออกอาการค้างชำระ อาจจะเป็น 1, 2, หรือ 3 งวด หากแต่ยังไม่เกิน 90 วัน มีการเลี้ยงงวดการชำระหนี้แบบไปๆ มาๆ กลับมาเป็นหนี้ปกติก็ไม่ได้ แต่ก็ไม่กลายไปเป็นหนี้เสียให้รู้แล้วรู้รอด การที่ลูกหนี้ร้องขอผ่อนผันและเจ้าหนี้ก็ยอม ตกลงกันทำสิ่งที่เรียกว่า การปรับโครงสร้างหนี้หรือ DR หรือ Debt Restructure จะเป็นเครื่องมือในการบริหารความเสี่ยงของการตกชั้น
- ในช่วงการระบาดของ covid-19 ฝั่งเจ้าหนี้ก็เห็นสัญญาณการค้างชำระ ฝั่งคนกำกับดูแลก็ได้กลิ่นควันไฟ ตามคำขวัญ “จับควันให้ไว ดับไฟให้ทัน ป้องกันอย่าให้ลาม” พร้อมกับประเด็นว่าการให้สินเชื่อควรจะมีข้อมูลไหมว่า บัญชีสินเชื่อของลูกหนี้ บัญชีไหนมีการทำ DR บ้าง ทางคนให้กู้ก็บอกว่าถ้าไม่รู้ชัดเจน จะเกิดความระแวง ระมัดระวังมาก ตั้งการ์ดสูง คนมาขอกู้ก็จะถูกปฎิเสธ ควรจะมีการติดรหัสบอกว่า บัญชีนี้มีการทำ DR ฝั่งคนกำกับดูแลก็บอกว่า ถ้าคนให้กู้รู้ชัดจากรหัสก็อาจจะรีบปฎิเสธการให้สินเชื่อ ที่สุดก็คือไม่มีการติดรหัส DR แต่ให้เจ้าหนี้รายงานตรงกับผู้กำกับดูแล
ดังนั้นข้อมูลว่ามีการทำ DR มากน้อย เพิ่มขึ้น/ลดลงในช่วงก่อน ระหว่าง covid-19 ระบาดจึงมีที่เดียว ณ ริมฝั่งเจ้าพระยา มีข้อเรียกร้องจากผมมาตลอดว่าควรเปิดเผย โปร่งใส ชัดเจนว่า ในสถานการณ์แต่ละช่วงมีการทำ DR ประมาณไหน สังคมจะได้เห็นแนวโน้มความหนักเบาและความรุนแรงของปัญหา
- ต่อมาเมื่อมีนโยบาย มาตรการแก้หนี้ยั่งยืน การให้กู้อย่างรับผิดชอบ ทางการผู้กำกับดูแลได้ตัดสินใจว่า บัญชีสินเชื่อใดก็ตามถ้ามีการลงนามในข้อตกลง ข้อสัญญาการปรับโครงสร้างหนี้ขณะที่ปกติหรือเริ่มค้างชำระ แต่การค้างยังไม่เกิน 90 วัน ตั้งแต่ 1 เมษายน 2567 เป็นต้นไป
บัญชีสินเชื่อนั้นจะมีการติดรหัสการมีสถานะเป็น DR เพื่อให้สถาบันการเงินที่รับใบสมัครสินเชื่อมาแล้วตรวจเครดิตบูโรของคนที่มายื่นขอกู้จะเห็นความชัดเจนว่าเจ้าของบัญชีสินเชื่อนั้น สถานะปัจจุบันเป็นอย่างไร มีศักยภาพในการชำระหนี้ประมาณไหน ควรจะได้สินเชื่อไหม
- ในเดือนเมษายน 2567 ตามกติกาใหม่ โปร่งใสมากขึ้น จากข้อมูลสถิติที่ไม่มีตัวตนพบว่า มีการทำ DR เกือบ 9 หมื่นล้านบาท 1.29 แสนบัญชีสินเชื่อ P-Loan ทำ DR. 3.8 หมื่นล้านบาท 5.7 หมื่นบัญชี ขณะที่ สินเชื่อบ้าน ทำ DR 2.9 หมื่นล้านบาท เกือบ 2 หมื่นบัญชี ข้อมูลรายละเอียดตามตารางด้านล่างสถาบันการเงินเฉพาะกิจหรือสถาบันการเงินของรัฐทำ DR 6.5 หมื่นล้านบาทจากทั้งหมดเกือบ 9 หมื่นล้านบาท มีจำนวนบัญชีสูงถึง 6.9 หมื่นบัญชี รายละเอียดตามตารางข้อมูลสถิติ
5.ข้อมูลในตารางถือเป็นหมุดหมายสำคัญในเรื่องความได้ผลสำเร็จของการเร่งปรับโครงสร้างหนี้ก่อนไหลเป็นหนี้เสีย ยอดสะสมในเดือนต่อๆ ไปตั้งแต่ความจริงปรากฏจะบอกได้ว่า มาตรการ 2 ต้อง 1 ไม่ ที่กำหนดมาว่า เจ้าหนี้เมื่อปล่อยกู้ไปแล้วต่อมาลูกหนี้ไม่ไหว เริ่มค้าง ต้องยื่นข้อเสนอทำ DR อย่างน้อยหนึ่งครั้ง และถ้าไหลไปเป็นหนี้เสียจริง ต้องให้โอกาสลูกหนี้ทำ TDR (Troubled Debt Restructuring: TDR) อีกอย่างน้อย 1 ครั้ง รวมทั้งต้องไม่ขายหนี้บัญชีดังกล่าวออกไปให้กับ ธุรกิจบริหารสินทรัพย์ (AMC) อย่างน้อย 60 วัน มาตรการนี้ไม่ใช่ขอความร่วมมือแบบในอดีต แต่เป็นมาตรการบังคับตามกฎหมาย
- การทำ DR แบบยื่นข้อเสนอแบบเจ้าหนี้ต้องเสนอลูกหนี้ มันมาพร้อมกับความเข้มของมาตรฐานการบัญชีที่ระบุว่า ในกรณีที่มีข้อบ่งชี้อย่างมีนัยสำคัญที่เรียกว่า SICR (Significant Increase in Credit Risk: SICR) เกิดขึ้นเช่น บัญชีสินเชื่อนั้นๆ ค้างเกิน 31 วั น จะต้องถือว่าบัญชีนั้นเป็น SM พอเป็นแล้วจะกลับมาเป็นปกติได้ก็ต้องทำ DR พอได้ทำสัญญาหรือข้อตกลงแล้ว ตัวลูกหนี้ก็ต้องหาเงินมาชำระหนี้ตามเงื่อนไข DR ติดต่อกันไปอย่างน้อย 3 งวด สถานะจึงจะกลับมาเป็นบัญชีปกติได้
กติกาที่เปิดเผยข้อมูลครบถ้วน ทันสมัยมากขึ้น การเข้มมาตรฐานทางบัญชีมากขึ้น การเข้มข้นการให้สินเชื่อด้วยความรับผิดชอบ การระบุการประเมิน พิสูจน์ทราบความมีศักยภาพในการหารายได้มาชำระหนี้ตามตารางที่กำหนดขึ้น ในเวลานี้ ในปีพ.ศ. นี้ ท่านผู้อ่านคิดว่า อัตราการเติบโตของสินเชื่อ อัตราการอนุมัติสินเชื่อ ความเข้มข้น ยืดหยุ่น ความเจือจางในนโยบายสินเชื่อจะไปในทิศทางไหน
สุดท้าย ความตั้งใจของเราที่ต้องการให้หนี้ครัวเรือนไทยมาอยู่ในระดับ 80% ของ GDP จะเป็นไปได้ในเร็ววันไหม ถ้าตัวเศษคือหนี้ครัวเรือนมันวิ่งด้วยอัตราการโต 3-4% ขณะที่ตัวส่วนคือ GDP มันวิ่งด้วยความเร็วในการโต 2-3%
เรากำลังกดตัวไหนให้วิ่งช้า เรากำลังปั๊มตัวไหนให้วิ่งเร็ว หากแต่ว่าถ้าเราๆ ท่านๆ ถูกวัดด้วยมาตรฐานการประเมินศักยภาพ ความสามารถในการหารายได้ ความสามารถในการชำระหนี้ ตัวเราๆ ท่านๆ ถ้าไปยื่นขอกู้เวลานี้ กติกาตอนนี้ ท่านคิดว่าท่านจะได้คำตอบแบบไหน