บทความ เรื่องเร่งด่วนของ SME ที่เกี่ยวกับเครดิตบูโร
เมื่อท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ได้เข้าทำหน้าที่ และเปิดตัวโดยให้นโยบายและแนวทางถึงการที่ ประเทศไทยกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุค “Thailand 4.0” ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการสร้างมูลค่า (Value-Based Economy) และการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การพัฒนาคนของทุกภาคส่วนให้มีความรู้ความสามารถสมัยใหม่โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งภาคอุตสาหกรรมนับเป็นหัวหอกหลัก เป็นกำลังหลักในการลากจูง ขับเคลื่อนไปสู่เป็าหมายแน่นอนว่าผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ทั้งภาคการผลิต ภาคการบริการและภาคการค้า ต้องรีบปรับตัวรองรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกยุคดิจิทัลไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ SME หรือคนตัวเล็ก ธุรกิจขนาดจิ๋วก็ตาม อันนี้เป็นภาพใหญ่ที่ใครเข้ามาทำหน้าที่ก็ต้องแก้ไข
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องเร่งด่วนที่ฝ่ายนโยบายคณะใหม่จะเข้ามาดำเนินการก่อนคือ
1. การส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่แห่งอนาคตตามนโยบายของรัฐบาลเดิมต่อเนื่องมายังรัฐบาลใหม่ชุดนี้เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ การแพทย์ครบวงจร เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล การแปรรูปอาหาร ยานยนต์แห่งอนาคต อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เป็นต้น
2. การหาแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME โดยมีแนวคิดที่จะหารือกับกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) เกี่ยวกับแหล่งเงินทุนและมาตรการด้านการเงิน ช่วยลดข้อจำกัดต่างๆ เช่น เรื่องเครดิตบูโร การลดอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ เป็นต้น
3. ในเรื่องการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการไตรภาคีต้องไปหารือกันให้ได้ข้อสรุปก่อน เพราะค่าแรงเป็นต้นทุนในกระบวนการผลิตสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคปลายทาง
จากข้อ 2 ที่ระบุถึงเครดิตบูโรนั้น ผู้เขียนขอเรียนรายละเอียดข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าประเด็นหนึ่งที่ควรหยิบขึ้นมาพิจารณาคือ ลูกหนี้ SME ที่ทำการปรับโครงสร้างหนี้แล้วไปต่อได้ยากในการหาแหล่งทุนมาสนับสนุนทั้งที่เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่การถูกบังคับจากเจ้าหนี้ หรือเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้คำพิพากษา หรือการทำยอมในศาล ผู้เขียนขอเล่ารายละเอียดให้ฟังเพื่อพิจารณา จะเห็นด้วยเห็นต่างไม่ว่ากันครับ เรื่องมันจะเป็นประมาณนี้…
การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของลูกค้า SME ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงและต้องการการผ่อนผันกฏเกณฑ์ที่เห็นได้ว่าเข้มงวดเกินไปในขณะนี้ จนส่งผลให้สถาบันการเงินไม่มีทางเลือกที่ต้องดำเนินการไปตามทิศทางนั้นตัวอย่างเช่น การที่ธนาคารกลางผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินไปกำหนดเกณฑ์ว่าหากสัญญาเงินกู้กำหนดให้มีการชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเช่น การผ่อนสินเชื่อธุรกิจ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ ผ่อนสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีการกำหนดต้นและดอกไว้ในเงินงวด ซึ่งหากลูกค้าประสบปัญหาบางช่วงที่ไม่สามารถจ่ายเต็มยอด แต่สามารถจ่ายได้แค่ดอกเบี้ยแล้ว กฏได้ระบุว่าต้องจัดชั้นสินเชื่อรายนั้น ผลคือธนาคารก็ต้องสำรองเพิ่มทันที ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง หากธนาคารไม่ต้องการกันสำรองรายการนั้น ธนาคารก็จะให้ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ อาจด้วยการปรับตารางการชำระหนี
แต่พอลูกค้าต้องปรับโครงสร้างหนี้ด้วยความสมัครใจ และไม่ใช่เป็นปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ที่แท้จริง แต่เป็นการขาดสภาพคล่องชั่วคราว เช่น ลูกหนี้การค้าชำระหนี้ล่าช้าเป็นต้น กลับเป็นว่าเมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้ ผู้ตรวจสอบธนาคารก็จะถือเอาว่าเป็นลูกค้ากลุ่มอ่อนแอ หากใครจะให้สินเชื่อเพิ่มเพื่อแก้ไขการขาดสภาพคล่องชั่วคราว ก็จะถูกสั่งสำรองเพิ่ม ซึ่งก็ทำให้ธนาคารไม่อยากให้สินเชื่อกลุ่มนี้ และกลายเป็นต้องให้ลูกค้ากลุ่มนี้รอดูใจออกไป 12-24เดือนจึงจะพิจารณาสินเชื่อใหม่ ตรงนี้คือสิ่งที่หากมีมาตรการออกมาผ่อนผันผ่อนปรน ประวัติในเครดิตบูโรก็ยังเป็นไปตามความจริง และคนให้กู้ก็สบายใจมากขึ้นที่จะพิจารณาให้กู้ครับ
ขอบคุณที่ติดตามนะครับทุกท่าน