เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันจันทร์ที่ 17 มิถุนายน 2562
เรื่อง “หยุดใช้จ่ายเกินตัว ยอดหนี้บัตรเครดิตโต30%”
โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/592218
เริ่มชื่อบทความของผมในครั้งนี้ ขอยกเอาข้อความตอนหนึ่งของผู้บริหารสาวเก่งของสถาบันผู้ให้บริการสินเชื่อผ่อนชำระ พวกกู้เป็นก้อนผ่อนเป็นงวด หรือสินเชื่อบุคคล ที่เรารู้จักกันในชื่อ Non bank ที่มีฐานลูกค้าของตัวเองกว่า 2ล้านราย
ท่านผู้บริหารได้เปิดเผยข้อมูลในส่วนที่ท่านบริหารว่า ยอดการใช้จ่ายในช่วง 4 เดือนปี 2562 ที่ผ่านบัตรเครดิตเติบโตสูงถึง 30% คิดเป็นยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเฉลี่ย 8.5พันบาทต่อบัตร ส่วนสินเชื่อส่วนบุคคล ทั้งสินเชื่อผ่อนชำระและกดเงินสด เติบโตถึง 18% โดยคาดว่ายอดสินเชื่อคงค้างสิ้นปีจะเติบโต 11-12% ท่านได้ให้ข้อมูลต่อไปว่า
(1)ในส่วนของกรณีที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) กำหนดเพดานวงเงินและกำกับสถาบันการเงินในกลุ่มสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลในไตรมาส 3ปี 2560นั้น ยอมรับว่า จะกระทบกับลูกค้าที่ปล่อยสินเชื่อใหม่ซึ่งส่วนหนึ่งทางกิจการก็ได้เปิดตลาดลูกค้ากลุ่มใหม่ 8 อาชีพ เช่น ผู้ประกอบอาชีพอิสระหรือฟรีแลนซ์ ลูกจ้างทำงานชั่วคราว ลาล่ามูฟ วินมอเตอร์ไซค์ แม่บ้าน ซึ่งเป็นการเปิดให้คนที่ไม่มีโอกาสได้เข้าถึงบริการทางการเงิน แต่ยังคุมมาตรฐานการก่อหนี้สำหรับคุณภาพลูกค้ารายใหม่ควบคู่กันไปด้วย
(2)จุดที่สำคัญคืออัตราการอนุมัติอยู่ที่ 40%(หนึ่งร้อยใบสมัครจะอนุมัติได้ประมาณ 40ใบสมัคร) ส่วนเรื่องของสาเหตุยอดปฏิเสธสินเชื่อสูงถึง 60% เพราะสภาพหนี้เร่งตัวขึ้นกว่ารายได้ หรือสัดส่วนหนี้ต่อรายได้(DSR) สูงเกินไปเป็นข้อมูลที่สะท้อนว่า ผู้ขอกู้มีหนี้มากกว่ารายได้ เพราะฉะนั้นถ้าเป็นหนี้โตไปเร็ว แต่รายได้โตไม่ทันแล้ว เรา(ตัวคนปล่อยกู้)จะปล่อยกู้ใหม่ให้เขาได้อย่างไร
(3)มีการพบข้อมูลสำคัญว่าผู้ยื่นขอกู้ที่ถูกปฏิเสธคือ บางรายมีความพยายามจะกลับมายื่นขอกู้อีกครั้งใน 6 เดือนถัดไปบ้าง บางคนยื่นกู้ถึง 10 ครั้ง หรือมีความต้องการวงเงินมากเกินไป แต่ไม่ได้การอนุมัติซึ่งก็หมายความว่า เรา(คนที่ให้กู้)จะไปเพิ่มภาระหนี้ให้คนขอกู้ เพราะถ้ายังให้กู้เพิ่ม มันก็จะทำให้ DSR (อัตราส่วนภาระหนี้ต่อเดือนทุกบัญชีต่อรายได้ที่รับในแต่ละเดือนหรือ Debt Service Ratio )สูงขึ้น คนให้กู้จึงจำเป็นต้องคุมคุณภาพหนี้พร้อมไปกับการปล่อยกู้รู้ด้วย
(4)โครงการที่จะให้ความรู้เรื่องทางการเงินที่ผ่านมาของคนให้กู้จะเน้นเรื่องอย่าฟุ่มเฟือย คิดก่อนใช้ หามาก่อนใช้ ขณะเดียวกันต้องขยันหารายได้เพิ่ม มีการบอกผู้กู้หรือลูกค้าที่มาขอสินเชื่ออย่างตรงไปตรงมาว่า “ช่วงที่ไม่มีปัญหา อย่าสร้างปัญหา แนะนำให้อยู่นิ่งๆ พอมีรายได้เพิ่มค่อยไปยื่นขอกู้”
(5)ตามแผนของสถาบันการเงินเท่าที่ติดตามข่าวมาผู้เขียนพบว่า
5.1 มีการดูภาระหนี้ในช่วงเวลาหนึ่งของคนกู้คนคนหนึ่งหรือภาระหนี้รวม ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือนทุกสัญญา ข้อมูลนี้มาจากเครดิตบูโร ภายใต้ความยินยอมของลูกค้า เจ้าของข้อมูลที่บอกให้เครดิตบูโรเปิดเผยข้อมูลของเขาให้กับว่าที่เจ้าหนี้ที่ท่านเจ้าของข้อมูลไปยื่นขอกู้
5.2ประเด็นปัญหาคือ
กลุ่มที่ 1 ผู้ขอกู้ไม่เคยมีประวัติทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินจะยากในการตรวจสอบประวัติเครดิต เพราะไม่มีบันทึกในเครดิตบูโร ซึ่งต้องแสวงหาข้อมูลจากแหล่งอื่น ๆมาแทน
กลุ่มที่ 2 สินเชื่อสหกรณ์ออมทรัพย์ สินเชื่อเพื่อการศึกษา สินเชื่อสวัสดิการ ที่มันมียอดผ่อนในแต่ละเดือน มันไม่มีการรายงานส่งเข้าระบบเครดิตบูโร ดังนั้นก็อาจทำให้การคำนวณ DSR คลาดเคลื่อนไป
การกำหนดความเหมาะสมคนที่จะกู้ได้คือ DSR ไม่ควรเกิน 50%ของรายได้ กล่าวคือเอารายได้ที่ได้รับมาผ่อนหนี้ทุกก้อน ทุกสัญญาในแต่ละเดือนไม่เกิน 50%ของรายได้นั้น หนี้ที่คิดจะก่อเพิ่มแล้วทำให้สัดส่วนนี้สูงขึ้นก้ไม่ควรทำ และคนให้กู้ก็ไม่ควรให้กู้เพิ่ม
“ช่วงที่ไม่มีปัญหา อย่าสร้างปัญหา แนะนำให้อยู่นิ่งๆ พอมีรายได้เพิ่มค่อยไปยื่นขอกู้” คำแนะนำที่ควรฟังให้ได้ยินครับ