ทบทวนข้อจำกัดในอดีตแล้วมองไปข้างหน้าของการเข้าถึงสินเชื่อ
บทความของผู้เขียนในวันนี้มีภาพประกอบจากเอกสารงานวิชาการของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจกสิกรไทยที่ได้เคยนำเสนอในงานประชุมวิชาการประจำปีธนาคารแห่งประเทศไทยปี 2557 ผมได้ไปเจอเอกสารนี้อีกครั้งด้วยเหตุสองประการ ประการแรก คือต้องย้ายสถานที่ทำงานทำเลใหม่ประการที่สองได้มีคำถามจากผู้คนในแวดวงสถาบันการส่งเสริม สนับสนุน SME ให้มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น
ต้องขอเรียนว่าหัวข้อพวกนี้เรื่องการกู้ไม่ได้ คนให้กู้ไม่รู้จักคนขอกู้ มีข้อมูลน้อยเกินไป ข้อมูลไม่ชัวร์ ฟากฝั่งคนขอกู้ก็มองว่าสถาบันการเงินไม่ฉลาด หาลูกค้าไม่เป็น ดีๆอยู่ตรงนี้ไม่เอา พยายามไปหาไอ้ที่จะกลายเป็นหนี้เสีย จนมีคำพูดประชดประชันว่า
“ธนาคารคือสถาบันการเงินคนให้กู้ที่พยายามยัดเยียดเงินกู้ให้กับคนที่ไม่ต้องการ(คงหมายถึงรายใหญ่ๆ)แต่จะปฏิเสธการขอกู้จากคนที่เขามีความต้องการเงินกู้(คงหมายถึงรายเล็กๆ SME)” คำถามคือทำไมมันเป็นอย่างนั้น ผมลองเอาข้อมูลปี 2557 มานำเสนอนะครับ ขอท่านผู้อ่านดูรูปแล้วพิจารณาประกอบกันไป
ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า ปัจจัยสำคัญคือสิ่งที่อยู่ด้านซ้ายของภาพที่ระบุว่า
1.การแข่งขันไม่เพียงพอหรือไม่
2.ลูกค้าคนขอสินเชื่อได้รับเงื่อนไขที่ดีหรือยัง หากเราพิจารณาสองข้อนี้ในปัจจุบันจะเห็นว่ามันน่าจะเป็นประเด็นได้ ในระบบเรายังขาดผู้เล่นพวก Non bank, Fintech, TechFin, Platform ที่จะเข้ามาแข่งขันการให้สินเชื่อกับคนตัวเล็กหรือ SME ทุกวันนี้ก็เอาสินเชื่อเพื่อการบริโภคแบบดอกเบี้ยแพงมาหมุน เรื่องของ P2P Lending ก็ไม่เห็นเด่นชัดว่าจะไปได้ดี ในต่างประเทศเขาอนุญาตให้สถาบันตัวกลางเหล่านี้ส่งข้อมูลเข้าเครดิตบูโรและสามารถใช้ข้อมูลจากเครดิตบูโร ใช้ Credit Score มาช่วยในการให้สินเชื่อ และกระบวนการสินเชื่อจะเป็นแบบ Digital Lending
เรื่องต่อมาคือปัจจัยด้านขวาของรูปในประเด็นการสร้างกติกาให้เกิดความสมดุลในการตั้งสำรองหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของลูกค้า SME ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงและต้องการการผ่อนผันกฎเกณฑ์ที่เห็นได้ว่าเข้มงวดเกินไปในขณะนี้ จนส่งผลให้สถาบันการเงินไม่มีทางเลือกที่ต้องดำเนินการไปตามทิศทางนั้นเช่น การที่ไปกำหนดเกณฑ์ว่าหากสัญญาเงินกู้กำหนดให้มีการชำระต้นเงินและดอกเบี้ย เช่น การผ่อนบ้าน การผ่อนรถยนต์ การผ่อนสินเชื่อธุรกิจ ที่จะมีการกำหนดต้นและดอกไว้ในเงินงวด ซึ่งหากลูกค้าประสบปัญหาบางช่วงที่จะสามารถจ่ายได้แค่ดอกเบี้ยแล้ว กฏได้ระบุว่าต้องจัดชั้นสินเชื่อรายนั้น ผลคือธนาคารก็ต้องสำรองเพิ่มทันที ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง หากธนาคารไม่ต้องการกันสำรองรายการนั้น ธนาคารก็จะให้ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ อาจด้วยการปรับตารางการชำระหนี้ หรือพักชำระหนี้ช่วงเวลาสั้นๆ
แต่พอลูกค้าต้องปรับโครงสร้างหนี้ด้วยความสมัครใจ และไม่ใช่เป็นปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ที่แท้จริง แต่เป็นการขาดสภาพคล่องชั่วคราว เช่น ลูกหนี้การค้าชำระหนี้ล่าช้า เป็นต้น กลับเป็นว่าเมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้ ผู้ที่กำกับดูแลก็อาจจะถือเอาว่าเป็นลูกค้ากลุ่มอ่อนแอ หากใครจะให้สินเชื่อเพิ่มเพื่อแก้ไขการขาดสภาพคล่องชั่วคราว ก็จะถูกสั่งสำรองเพิ่ม ซึ่งก็ทำให้ธนาคารไม่อยากให้สินเชื่อกลุ่มนี้ และกลายเป็นต้องให้ลูกค้ากลุ่มนี้รอดูใจ รอดูการชำระหนี้เดิมออกไป 12-24 เดือน จึงจะพิจารณาสินเชื่อใหม่ ข้อเท็จจริงนี้หากคลาดเคลื่อนไปก็ขอให้ท่านผู้รู้หรือบรรดากูรู กูรู้ทั้งหลายทั้งปวงได้โปรดออกมาชี้แจงแถลงไขด้วยนะครับ
การกำหนดกติกาป้องกันและบริหารความเสี่ยงโดยคนที่ไม่เคยปล่อยสินเชื่อ เคยแต่วิจารณ์หลังการปล่อยสินเชื่อไปแล้ว มันเหมือนคนเชียร์มวยข้างเวที ตัวเองไม่ได้ชกแต่ไปคิดว่าเพื่อให้ไม่เจ็บต้องหลบหลีกแบบนี้ เวลามองก็เห็นแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่เห็นด้านหลัง และถ้ายิ่งมีความคิดว่าเพื่อให้งานของตัวเองไม่เสี่ยง ไม่เสี่ยงที่จะถูกตั้งประเด็น ก็เลยจัดเต็ม ทั้งที่มันไม่ควรจะไปไกลขนาดนั้นไหม ในภาวะเศรษฐกิจที่ต้องเกื้อหนุน เกื้อกูลกัน อยากเห็นปัญหาว่า สินเชื่อ SME ปล่อยง่ายเกินไป มีแหล่งเงินกู้เพียบ แข่งขันจนดอกที่จะคิดเตี้ยติดดิน แทบไม่มีกำไร เจ้หน้าที่ที่ดูแลลูกค้าแทบจะกราบกรานให้ SME มาใช้บริการ ภาพพวกนี้เราคงจะไม่เห็น ไม่มีโอกาสเห็น และแทบจะไม่เห็น ถ้าเราเป็นคนในยุคเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการส่งเอกสารคือ Fax ขณะที่มีความคิดในยุคนั้นเรากลับมาพยายามเอาเทคโนโลยีระดับนั้น ที่ดีที่สุดในอดีตเวลานั้นมากำกับดูแลในยุคนี้ ยุคที่การส่งเอกสารคือใช้ Line Application อาการแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าจะหลุดออกมาได้อย่างไรนอกจากเข้าโครงการเกษียณก่อนกำหนด
คล้ายๆกับว่าคนขอกู้เข้าห้องฉุกเฉิน (ER)และคนที่พิจารณาเงินให้กู้ คนกำกับดูแลก็เข้าโครงการ ER ด้วยเช่นกัน…. ขอบคุณครับที่ติดตาม