ชนะการรบในด้านสุขภาพกับ COVID-19 ตอนนี้ได้เวลาแตกหักสงครามที่เรื่องรักษาการจ้างงาน
เป็นไปอย่างที่พูดคุยกันมาตลอดในทุกวงการว่า จากช่วงแรกในการต่อสู้กับไวรัสโควิด 19 ระบาดคือ กลัวตายมาก่อนกลัวอด แต่เมื่อการ์ดไม่ตก ผ่านการชนะการรบด้านสาธารณสุขมาแล้ว สนามรบหลักต่อไปที่ต้องชนะสงครามคือ การรักษาการจ้างงานไว้ให้ได้ ปัจจัยหลักที่จะรักษาฐานที่มั่นนี้ได้คือระบบเศรษฐกิจต้องขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ด้วยโครงสร้างที่หัวรถลากระบบเศรษฐกิจของเราคือ การส่งออกและการท่องเที่ยว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการท่องเที่ยวอยู่ในภาวะสลบ ขณะที่การส่งออกก็ต้องลดลงเพราะเหตุคนมันมีปัญหากันทั้งโลก คนซื้อของมันไม่อยู่ในฐานะที่จะซื้อมาก ซื้อถี่ ซื้อทุกอย่างได้เหมือนเมื่อก่อน
ข้างฝั่งสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) ได้รายงานสถานการณ์การว่างงาน ผู้ว่างงานในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 อยู่ที่ 7.5 แสนคน คิดเป็นอัตราการว่างงาน 1.95% เพิ่มขึ้น 1 เท่าจากอัตราการว่างงานในช่วงปกติ และเป็นอัตราการว่างงานที่สูงสุดตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2552 โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ว่างงานที่เคยทำงานมาก่อน ซึ่งก็มาจากปัจจัยที่เกิดจากสถานที่ทำงานเลิก หยุด ปิดกิจการหรือหมดสัญญาจ้าง เพราะเหตุว่าได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด 19
ที่น่าสนใจมากๆคือสถานประกอบการที่ขอใช้กฎหมายคือกลุ่มที่ขอหยุดชั่วคราว แต่ยังต้องรับภาระในการจ่ายค่าจ้างให้กับลูกจ้างอยู่ 7.9 แสนราย และผู้จบการศึกษาใหม่ในปี 2563 ที่กำลังจะเข้าสู่ตลาดแรงงาน 5.2 แสนคน มีแนวโน้มจะหางานทำได้ยากขึ้น หรืออาจต้องใช้ระยะเวลาในการหางานนานกว่าปกติเพราะอย่างนี้ทำให้คาดหมายกันในระยะต่อไปว่าจากยอดผู้ว่างงานมันจะไม่หยุดที่ 7.5 แสนคนแต่จะเลย 1 ล้านคนไปหา 2 ล้านคน ซึ่งจะส่งผลรุนแรงมาก
อีกเรื่องที่จะทับถมปัญหาคนว่างงานและขาดรายได้แบบเฉียบพลันหรือ Income shock คือหลังจากมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้พักการชำระหนี้ ชะลอการชำระหนี้ การเลื่อน/ปรับตารางการชำระหนี้ที่ทำกันในปริมาณถึงเกือบ 13 ล้านบัญชีสินเชื่อ มูลหนี้เกือบ 7 ล้านล้านบาท ได้สิ้นสุดลงในเดือนตุลาคม 2563 ครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบแบบว่าไม่มีงานทำ ไม่มีรายได้ จะประคองตัวเองจากเงินเก็บเงินออมได้นานเท่าใด โอกาสจะผิดชำระหนี้ ท้ายที่สุดหนี้เสียก็จะเพิ่ม ซึ่งคืออันตรายต่อระบบสถาบันการเงินเป็นอย่างมาก ดังนั้นความคาดหวังที่ว่าเครื่องยนต์ทางด้านการบริโภคของภาคเอกชนจะวิ่งได้เร็วขึ้น แรงขึ้นมาช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจคงจะหวังแทบไม่ได้ ภาคการผลิตที่จะผลิตเอามาขายให้ผู้บริโภคก็พลอยต้องหงอยเหงาตามไปด้วยในที่สุด พิษการว่างงานคือสิ่งที่ร้ายแรงมาก แทบทุกประเทศต่างเกรงกลัวปัญหานี้เป็นที่สุด
ในประเทศเราจะสามารถเอาแหล่งเงินจากภาครัฐที่ดอกเบี้ยถูกมากๆ เช่น 0.01% มาส่งต่อให้สถาบันการเงินรัฐและเอกชนเอาไปปล่อยกู้ให้กับลูกค้าเก่าที่ยังไม่เป็นหนี้เสีย (แต่อาจมีตำหนิบ้าง) ในราคาสัก 2% แต่จำนวนเงินกู้จะเท่ากับเงินเดือนพนักงานที่กิจการสัญญาว่าจะจ้างต่อไปอีกอย่างน้อย 12-24 เดือน ไม่มีการดูหลักประกัน เลิกพูดเรื่อง free cash flow เน้นแต่เพียงว่ากิจการนั้นยังไม่ปิด อาจจัดให้มีการค้ำประกันเงินกู้โดยสถาบันการเงินของรัฐในสัดส่วน 70% ของวงเงินกู้ เมื่อกิจการได้เงินกู้ก็จะต้องผ่านเงินกู้นั้นลงไปที่รายจ่ายเงินเดือนพนักงาน/ลูกจ้าง เงินที่จ่ายนั้นให้ผ่านระบบ pay roll เงินเดือนซึ่งเป็นบริการของธนาคารอยู่แล้ว ภาษาชาวบ้านคือเจ้าของกิจการได้ตัวเลขการเป็นหนี้ไปแต่เงินวนเข้ากระเป๋าเงินของบรรดาพนักงาน/ลูกจ้างโดยตรง ทีนี้พอเงินเข้าบัญชีของพนักงาน/ลูกจ้าง ธนาคารก็หักเงินไว้ไม่เกิน 50% ของรายได้ของเดือนของพนักงาน/ลูกจ้างท่านนั้นเพื่อกระจายเงินนั้นไปให้กับเจ้าหนี้สินเชื่อบ้าน บัตรเครดิต เช่าซื้อรถยนต์ และสินเชื่อส่วนบุคคล เราเรียกตรงนี้ว่า หักหน้าซองเงินเดือน 50% เข้าซองเงินเดือนไปส่วนที่เหลือ อย่างน้อยพนักงาน/ลูกจ้างที่มีเงินไปจ่ายหนี้ได้ก็น่าจะยังถือว่าเขาเป็นลูกหนี้ที่รักษาคำพูดในการจ่ายหนี้
กลับมาที่ลูกหนี้กิจการที่เป็นนายจ้าง กิจการก็ต้องมีการผลิตหนือให้บริการ ทีนี้ก็ตีค่าสินค้าหรือบริการนั้นๆเป็นตัวเงิน แล้วเอาสินค้าและบริการเหล่านั้นมาจ่ายเป็นดอกเบี้ยให้กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินเช่น เบเกอรี่กล่องนี้ เมนูนี้เท่ากับ 1,000 บาท สถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้เมื่อรับของที่แลกกับการจ่ายดอกเบี้ยมาก็ให้นำเอาสินค้า/บริการเหล่านั้นมาขายใน Online platform ที่ตนเองสร้างเพื่อเชื่อมประสานไปยังลูกค้าตนเองอีกกลุ่มที่มีเงิน ได้รับผลกระทบน้อย เขาเหล่านั้นจะได้บริโภคหรือชอปปิงสินค้า/บริการที่ถูกนำไปขัดดอกขาย ไม่มีอะไรต้องน่าอายในฝั่งลูกหนี้ เพราะเมื่อเราจะไม่รอด กำลังจะหมดหวัง แต่ของๆ เราที่ผลิตหรือบริการ มีค่าเอาไปแลกกับดอกเบี้ยจ่ายเงินกู้ได้ ทำไมจะไม่ทำ คนมีเงินที่มาซื้อของๆ เราก็จะรู้จักเรามากขึ้น
สรุปแล้วในศึกตัดสินครั้งนี้ ภาครัฐจำเป็นต้องเร่งให้มีมาตรการรักษาการจ้างงานเป็นเรื่องสำคัญสุด เพื่อให้ครัวเรือนสามารถเตรียมตัวรองรับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน และในท้ายที่สุดผลกระทบที่อาจจะมีต่อระบบการเงินของประเทศจะได้ผ่อนหนักเป็นเบา หรือเราทุกคนจะสามารถหักดิบเอาชนะสงครามนี้เสียเลย..
ขอบคุณที่ติดตามครับ