
วัคซีนเศรษฐกิจ มาตรการเชิงรุกในระยะต่อไป
เป็นระยะเวลาปีกว่านับแต่ปลายปี 2562 ที่ทั่วโลกต้องเจอกับไวรัสสายพันธุ์ใหม่หรือโควิด-19 จากนั้นเราก็เจอการกระแทกจากมาตรการป้องกันตัวที่ต้องทำ ถูกบังคับให้ต้องทำ ที่เรียกว่า “ปิดบ้านปิดเมือง” คนทำมาหากินทุกระดับต่างถูกบังคับให้อยู่นิ่ง ๆ เหมือนการกลั้นหายใจ เวลานั้นปอดใครใหญ่ก็พอไหว ปอดใครเล็ก มีโรคประจำตัว (เป็นหนี้) ก็เจอกับอาการแทรกซ้อน กลัวตายก็กลัว กลัวอดก็กลัว กลัวเป็นหนี้เสียแต่ก็หมดปัญญาจะหาเงินไปส่งต้นและดอก เบี้ยหันมามองก็เห็นแววตาลูกน้องที่กลัวการตกงาน ถ้าจะให้เปรียบเทียบก็เหมือนกับ “คนที่รีบออกจากบ้านแต่ลืมกระเป๋าสตางค์ ลืมโทรศัพท์ นั่งบนรถยนต์ เกิดอาการท้องเสียต้องเข้าห้องน้ำด่วน แต่รถเกิดอุบัติเหตุ” ในสถานการณ์นั้นปรากฏว่า คุณตำรวจผ่านมาพอดี ขณะที่คู่กรณีหัวร้อนกำลังจะใช้อารมณ์กับตัวเรา คุณตำรวจจึงรีบให้คู่กรณีเข้าข้างทางหน้าโรงแรมพอดี เลยได้โอกาสขอคุณตำรวจวิ่งเข้าห้องน้ำทำธุระแต่เจ้ากรรม ทิชชูดันหมด เลยต้องสละผ้าเช็ดหน้าของตนเองซึ่งเป็นของรักเนื่องจากเป็นของที่คู่สมรสให้ไว้เป็นของที่ระลึกตอนเป็นแฟนกัน” คุณตำรวจให้เวลาโดยคุยกับคู่กรณี คุณตำรวจให้ยืมโทรศัพท์โทรหาคนทางบ้าน เพื่อให้เอากระเป๋าสตางค์ โทรศัพท์ มาให้ ณ จุดเกิดเหตุ พร้อม ๆ กับรอประกันภัยมาเคลียร์ สรุปคือ มีเวลาได้หายใจหายคอตั้งหลัก
ภาพที่ผู้เขียนบรรยายเปรียบเทียบนี้คือภาคต้นของเรื่องเท่านั้น เวลานี้เข้าปีที่สองของการต่อสู้กับความอยู่รอดทั้งด้านสาธารณสุขและด้านเศรษฐกิจปากท้อง ในช่วงเวลาต่อไปนี้คือช่วงเวลาที่สำคัญมากกว่าช่วงเวลาแรกเพราะ
1.เราจะมีคนที่ไม่รอดจากบาดแผลทางเศรษฐกิจ ต้องมีการล้มหายตายจากไป คำถามคือถ้ามีจำนวนมากมายทั้งเล็ก กลาง ใหญ่ บรรดาหลักประกันต่าง ๆ และการดำเนินการทางกฎหมายมันจะเป็นลูกโซ่จากหนี้สถาบันการเงิน หนี้การค้า หนี้ค่าจ้างแรงงาน หนี้สารพัด การจัดการทางกฎหมายในกรอบเดิม ๆ มันจะยิ่งเละเทะเข้าไปกันใหญ่ ดังนั้นมาตรการแช่เย็นแบบเย็นจัดประหยัดไฟต้องมา จากนั้นค่อยละลายน้ำแข็งทีละกรณีเพื่อแยกแยะของดี ของต้องทิ้ง ไม่ให้เกิดการเน่าเสียไปทั้งหมด การยืดหนี้ออกไปให้นาน ทุบหนี้ให้แบน และค่อย ๆ เคลียร์เพื่อจำกัดความเสียหายจึงต้องทำ… อันนี้น่าจะเป็นวัคซีนขนานที่หนึ่ง
ต่อมาคือกลุ่มที่สู้ต่อ คิดว่าสู้ได้ แต่ตอนนี้หมดแรง ต้องใส่ยาบำรุงหัวใจให้เดินต่อไปอีกอึดใจ รอเวลาฟ้าเปิด วัคซีนขนานที่สองที่เรียกว่า โกดังพักหนี้ ก็ต้องตามมา ต้องมีการตีทรัพย์สินชำระหนี้ เพื่อไม่ต้องจ่ายดอกเบี้ย แล้วขอเช่ากลับมาทำธุรกิจเพื่อรอเวลารักษาทรัพย์สินไม่ให้เสื่อมค่า รักษาคนงานเอาไว้โดยหันมาทำธุรกิจแนวเอาตัวรอดดูก่อน การจ่ายค่าเช่าแทนดอกเบี้ยมันจะมีค่าใช้จ่ายน้อยลง แล้วก็ทำสัญญาซื้อขายทรัพย์สินคืนในอีกห้าปี เจ็ดปีข้างหน้า (Purchased option) ซึ่งก็หมายถึงการกู้ยืมเหมือนเดิมนี่แหละแต่ตอนนั้นพายุของโรคระบาดน่าจะยุติไประดับหนึ่งแล้ว มาตรการสร้างพื้นที่ให้ ขายไป-เช่ากลับ-สัญญาว่าจะซื้อคืน โดยทุกฝ่ายผ่อนสั้นผ่อนยาวกันไป มีคนรับความเสียหายบางส่วนที่อยู่ในเก�
วัคซีนตัวที่สามคือ เงินกู้ละมุนนุ่มหรือ Softloan เวอร์ชันใหม่ที่จะมาแทนเวอร์ชันเก่าตอนลูกหนี้ลืมกระเป๋าสตางค์เวลาออกจากบ้าน แต่จะเป็นเวอร์ชันลูกหนี้กลับมาที่บ้านแล้วพบว่ารายได้มันหายไปพอสมควร แต่มีบิลมาเรียกเก็บเงินเพียบ ดังนั้นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้จึงต้องทำเพื่อให้กระแสเงินสดมันเดินต่อได้ อาจต้องทำทั้งหนี้เก่าหนี้ใหม่ ถ้าเงื่อนไข Soft loan ออกมาว่า
1.สองปีแรกดอกเบี้ย 2% ปีที่สามค่อยเพิ่มเป็นขั้นบันได และมีอายุ 5-7 ปีก็จะดีมาก
2.ไม่ยุ่งกับหลักประกันเก่า ไม่มีสูตรชดเชยความเสียหายแบบคุณสุภาพสตรีที่ทำงานไม่เป็นแต่คิดว่าตัวเองคิดเก่ง ทำแต่แล็บแห้ง ไม่หารือใครเพราะวัน ๆ คิดแต่เรื่องความลับ ลับจนหาประตูออกไม่เจอ สูตรมันควรจะง่ายสุดไหมเช่น ปล่อยกู้ไป 100 กลายเป็นหนี้เสียรวมดอกเบี้ยค้าง 120 ชดเชย 50% คิดเป็นชดเชย 60 เอาแบบง่ายสุด แบบคนอยู่บ้านเช่าริมน้ำเจ้าพระยาข้างองค์กรใหญ่ก็คิดได้คิดเป็น (หัดฟังคนรอบข้างบ้างก็จะดี)
3.วงเงินสูงสุดต่อรายจะเป็น 150-200 ล้านบาทมั้ย แต่ไม่ต้องจำกัดหน้าใหม่ ลูกค้าเก่า ใครที่แสดงได้ว่าเดือดร้อน และกู้ไปแล้วแก้ไขปัญหาได้ก็ควรให้ เรื่องที่ควรจะเถียงให้จบคือกู้มา refinance ได้ไหม เพราะบางท่านก็บอกมันคือการลดต้นทุนทางการเงิน เงินส่วนที่ประหยัดได้ก็เอามาเลี้ยงคนงานเป็นค่าจ้าง ฝั่งที่บอกไม่ควรให้ทำ refinance ก็บอกว่ามันควรเอาไปลงทุนปรับปรุงกิจการ เพิ่มประสิทธิภาพ พูดไปมันก็ถูกทั้งหมดแหละครับ จะเอาอะไรก็รีบทำให้จบ
ผู้เขียนได้พยายามสื่อสารมายังท่านผู้อ่านในมุมเฉพาะเรื่องการจัดการของเจ้าหนี้-ลูกหนี้-คนกลาง เพราะเวลานี้ถ้าทุกฝ่ายอยากมีภูมิคุ้มกันหมู่ ก็ต้องรับวัคซีน และมีกำลังกาย กำลังใจเดินหน้าต่อไป
ย้ำอีกครั้ง ขอคิดความเห็นในบทความไม่เกี่ยวและผูกพันว่าเป็นความเห็นองค์กรที่ผู้เขียนสังกัดนะครับ
ขอบคุณที่ติดตามครับ… ผิดพลาดประการใดติชมมาได้นะครับ