Blog Page 134

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “เคสจริง​ เรื่องจริง​ของคนที่คิดจะขอกู้ในเวลานี้​ ” วันจันทร์ที่ 2 กันยายน 2562

เคสจริง​ เรื่องจริง​ของคนที่คิดจะขอกู้ในเวลานี้​

จากการที่เครดิตบูโร​ ได้ปรับปรุงวิธีการในเรื่องการติดต่อสื่อสารระหว่างตัวลูกค้าเจ้าของข้อมูลกับทาง​ call center ของเราดังนี้ว่า
1. Call center จะให้ข้อมูลพูดคุย​ ปรึกษาแนะนำในกรณีที่เป็นเรื่องทั่วไป​ ไม่ซับซ้อน เช่น​ จะตรวจเครดิตบูโร​ได้ที่ไหน​ ต้องทำอย่างไร​ เป็นต้น
2. ในกรณีที่เป็นประเด็นที่เริ่มยาก​ เริ่มลงรายละเอียด​ ซึ่งมีข้อเท็จจริงมากมาย​ จนเราไม่อาจเชื่อได้ว่า​ ใครพูดความจริง​ ใครพูดความจริงครึ่งเดียว​ ใครมีวัตถุประสงค์แท้จริงอะไร​ มีผู้คนปลอมเป็นลูกค้าเข้ามาขอเก็บข้อมูลอย่างนั้นอย่างนี้​ ก็จะเป็นเรื่องที่ต้องมีการส่งหลักฐานประกอบมายังเครดิตบูโรเพิ่มว่า​ ท่านที่ถามเป็นใคร​ มีปัญหากับสมาชิกเครดิตบูโรรายใด มีประเด็นอย่างไร​ หลักฐานคืออะไร​ เพื่อที่เราจะได้ดำเนินการให้เป็นไปตามกระบวนการที่กฎหมายกำหนด​ เครดิตบูโรถูกหนังสือจากทางการผู้กำกับดูแลกำหนดไว้ว่า​ “ห้ามมิให้เครดิตบูโรแก้ไขข้อมูลใดๆ ให้ต่างไปจากที่สมาชิกนำส่ง” ดังนั้นสิ่งที่เห็นในรายงานเครดิตบูโร​ คนที่จะบอกได้จริงว่าอันไหนคือใช่หรือไม่ใช่คือตัวเจ้าของข้อมูลหรือลูกค้ากับตัวของสถาบันการเงินสมาชิกที่เป็นส่งข้อมูล​ หากว่าทั้งสองคนนี้บอกว่ามันใช่​ มันก็คือใช่​ ถ้าสองคนนี้ทะเลาะกันมันก็ต้องไปจบที่คนกลางคือคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิตที่มีท่านผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นประธาน (ซึ่งไม่มีใครในเครดิตบูโรไปนั่งเป็นกรรมการชุดนี้เลย)​ และถ้ายังไม่พอใจ​ คนที่เป็นลูกค้าก็สามารถยื่นเรื่องต่อศาลท่านให้ยุติเรื่องด้วยความเป็นธรรมอีกครั้งหนึ่งในท้ายสุด

ท่านผู้อ่านลองดูสิ่งที่เป็นเคสจริงๆของวันนี้คือ​….. ผมขอความกรุณาปรึกษาครับ
พอดีผมติดเครดิตบูโร จากการที่ไม่ได้ผ่อนชำระค่างวดรถยนต์ เนื่องจากรถถูกขโมยไปเมื่อปี 2549 และต่อมาตำรวจสามารถจับคนร้ายได้ และศาลมีคำพิพากษาให้คนร้ายชดใช้เงินตามจำนวนมูลค่าของรถ ซึ่งตอนนี้ก็ผ่านมาเกิน 10 ปีแล้ว

บริษัทที่เป็นคู่สัญญาของผมได้ขายหนี้และผมควรจะทำยังไงดีครับ เพราะตอนนี้จะกู้เงินธนาคารต่างๆ อีกครั้งก็เกิดปัญหากับประวัติตัวนี้อยู่ครับ…

จากข้อมูลเท่านี้ที่มีการส่งผ่านอีเมลเข้ามา​ หากท่านเป็นคนรับเรื่องท่านจะเชื่อเลยหรือไม่​ ท่านจะแยกแยะอย่างไร​ ท่านจะให้ความจริงบางประการที่ถูกต้องแต่อาจไม่ถูกใจเขาได้อย่างไร​ ผมขอลองให้พิจารณาดังนี้ครับ

1.บอกกับเขาก่อนว่า​ คำว่าติดเครดิตบูโรนั้นคือความเข้าใจผิด​ เพื่อแก้ไขความเข้าใจผิดให้เข้าใจถูกก่อนว่า​

เครดิตบูโรขอเรียนว่า ไม่ได้จัดทำและไม่เคยจัดทำ “ให้บุคคลใดบุคคลหนึ่งติดเครดิตบูโรหรือติดบัญชีดำหรือแบล็กลิสต์” ในฐานข้อมูลของบริษัทและในรายงานข้อมูลเครดิตของเจ้าของข้อมูลเลยแม้แต่รายเดียว ความเข้าใจในเรื่องที่ว่า เมื่อมีหนี้ค้างชำระหรือผิดนัดชำระหนี้แล้ว จะทำให้ “ติดเครดิตบูโรหรือติดแบล็กลิสต์” และไม่สามารถขอสินเชื่อได้จนกว่าจะชำระหนี้เสร็จหรือปิดบัญชีและถูกปลดชื่อจาก “การติดเครดิตบูโรหรือติดแบล็กลิสต์” ของเครดิตบูโร นั้น จึงเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้อง

เครดิตบูโร มีหน้าที่ในการรวบรวมและประมวลผลข้อมูลที่ได้รับจากสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัท โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกมีหน้าที่รายงานและส่งข้อมูลของลูกค้าสินเชื่อและบัตรเครดิตให้กับบริษัททุกเดือน ซึ่งมีลักษณะเป็นการรายงานข้อเท็จจริงหรือมีความเคลื่อนไหวของบัญชีสินเชื่อในแต่ละบัญชีที่ลูกค้ามีอยู่กับสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิก ไม่ว่าลูกค้าจะมีประวัติผิดนัดชำระหนี้หรือไม่ก็ตาม โดยบริษัทจะเก็บข้อมูลไว้ระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่เกินกว่าระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด

2. ในปัจจุบันในรายงานเครดิตบูโรของเจ้าของข้อมูลที่เป็นลูกค้ารายนี้น่าจะมีสถานะทางบัญชีสินเชื่อนี้ว่า​ “ได้ถูกโอนขายไปให้กับนิติบุคคลอื่นแล้ว” เพราะเจ้าหนี้เดิมเมื่อไม่ได้รับชำระหนี้​ ก็จะทวงถาม​ ต่อเมื่อมองว่าบัญชีนี้คงจะได้รับชำระยากจึงตัดสินใจขายหนี้บัญชีนี้ให้กับนิติบุคคลที่มารับซื้อหนี้ค้างชำระนี้ไปบริหารต่อ​

3. ในข้อเท็จจริงไม่ระบุว่า
3.1​ ใครไปแจ้งความว่ารถหาย​ หายเพราะถูกขโมย​ ขโมยเป็นใคร​ สัมพันธ์​หรือไม่อย่างไรกับลูกค้า​
3.2​ เมื่อศาลท่านพิพากษาแล้วให้คนร้ายชดใช้หนี้​ มีการทำอย่างไรต่อ​ มีการนำรถทีถูกขโมยไปออกประมูลขายเอาเงินมาใช้หนี้คนให้กู้ไปมา หรือมีเพียงคำพิพากษาแต่ไม่มีใครไปบังคับคดีใช่หรือไม่
3.3​ ตัวเจ้าของข้อมูลได้ติดต่อกับนิติบุคคลที่เขาซื้อหนี้ไปหรือไม่​ เพราะเขาคงไม่อาจทราบได้ว่าลูกหนี้ที่เขาซื้อมานั้นที่ไม่ชำระหนี้เพราะเกิดเหตุ​อะไร​ เขาก็รู้แต่ว่าคนนี้​ บัญชีหนี้​ เป็นหนี้กับสถาบันคนขายหนี้​ แต่ยังไม่มีการชำระหนี้​ เขาซื้อหนี้มาบริหาร​ เขาก็ต้องทวงหนี้ตามสิทธิ​ที่เขามี

เรื่องทั้งหมดที่เปิดมา​ คนที่รู้คือตัวลูกหนี้​ แต่เจ้าหนี้เปลี่ยนไปแล้ว​ ประวัติมันนิ่งตอนขายหนี้ออกไป​ และเมื่อนับจากวันที่มีการขายหนี้ออกไปแล้ว​ ยอดหนี้ก้อนนี้จะแสดงตัวเลขเป็นศูนย์​ มีรหัสสถานะบัญชีว่า​ 42​ โอนขายหนี้ให้กับนิติบุคคลภายนอก​ ที่สำคัญบัญชีนี้จะถูกลบออกจากระบบหลังจากครบกำหนดสามปีนับแต่วันที่มีการโอนขายหนี้บัญชีนี้

ตอนนี้คำแนะนำคือตัวลูกหนี้ต้องไปคุยกับนิติบุคคลที่รับซื้อหนี้ว่า​ หนี้ตามคำพิพากษาที่ให้คนร้ายใช้หนี้นั้นเป็นมาอย่างไร​ มีการชำระแล้วหรือไม่​ ชำระให้ใคร​ คนฟ้องคือใคร​ เพราะตราบใดที่คนซื้อหนี้ยังไม่ได้รับชำระหนี้​ เขาก็ตามหนี้ก้อนนี้​

ส่วนการที่ท่านเจ้าของข้อมูลท่านจะยื่นขอกู้ใหม่กับใคร​ ท่านก็ต้องไปแสดงหลักฐานความสามารถในการชำระหนี้ว่าท่านไหว​ ท่านรับผิดชอบได้​ จะไปเอาสองเรื่องมาผูกกันเสียทั้งหมดมันคงไม่ได้​ มันต่างกันนะครับคือถ้า​ เจ้าหนี้เขาฟ้องคนเป็นลูกหนี้ให้ชำระ​ แล้วคนเป็นลูกหนี้ไปฟ้องคนขโมย​ แล้วศาลพิพากษามาให้ขโมยชดใช้​ ไล่กันมาอย่างนี้มันจะเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ต่างออกไป

นี่คือเหตุผลที่เครดิตบูโรเราให้คนที่มีเรื่องเขียนอีเมลเข้ามาครับ​ ต้องเขียน​ หลักฐานจะได้ชัด​ เล่าเรื่องไม่เอาครับ​ ความจริงมันมีหลายชุด​ ทุกคนต่างอ้างความจริงที่ตนได้ประโยชน์​ มันคือสัจธรรม​ของมนุษย์ครับ

ขอบคุณมากที่ติดตาม

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “คงไม่น่าเบื่อถ้าจะพูดเรื่องคนเป็นหนี้เยอะกับมาตรการที่จะออกมาชนอีกสักหน” วันจันทร์ที่ 26 สิงหาคม 2562

คงไม่น่าเบื่อถ้าจะพูดเรื่องคนเป็นหนี้เยอะกับมาตรการที่จะออกมาชนอีกสักหน

คงเป็นเรื่องที่ต้องติดตามและติดตามอย่างใกล้ชิดถ้าเราเป็นคนกลุ่มที่กำลังคิดจะก่อหนี้มาซื้อบ้าน​ ซื้อคอนโด​ ในเวลานี้หรือหากเราเป็นคนในระดับบริหาร​ ระดับวางแผนงานของสถาบันการเงินคนปล่อยกู้​ หรือหากเราจะเป็นผู้ประกอบการที่ทำบ้าน​ ทำคอนโดออกมาขายให้กับคนที่เขาต้องไปกู้มาซื้อของๆเราที่ทำออกมาขาย​ หรือถ้าเราเป็นคนทำงานในธนาคารกลางที่มีตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบในการหามาตรการออกมาแก้ไขปัญหาคนเป็นหนี้เยอะ​ เป็นหนี้เร็ว​ เป็นหนี้นาน​ หนี้ไม่ลดลงตามอายุที่เพิ่ม​ แถมคนที่เป็นหนี้เสียดันเป็นคนอายุไม่มาก​ สุดท้ายคือถ้าเราเป็นคนในรัฐบาลที่กำลังคิดนโยบาย​ มาตรการออกมาแก้ไขปัญหาให้ตอบโจทย์​ที่กำลังรุกเร้าเข้ามา​ เพราะเหตุว่าคนเป็นหนี้กันเยอะ​ จะไปเอากำลังซื้อมาจากไหนกัน​ ขณะที่ตอนเรียนเศรษฐศาสตร์​มันก็มีสมการของ​ GDP​ ว่า​ Y=C+I+G+(X-M) ไอ้ตัว​ C คือการบริโภค​ คนมันจะบริโภคเพิ่ม​ มันก็ต้องมาจากรายได้เพิ่ม​ ถ้าเขาดันมีหนี้​เยอะ​ มันก็ต้องผ่อนเยอะในแต่ละเดือน​ แล้วจะเอาที่ไหนไปกินใช้ถ้ายอดผ่อนต่อเดือนมันเยอะมากมายก่ายกอง​ มันมีคำพูดของคนในข่าวที่เครียด​ บ่น​ ระบายออกมาจากการที่มีหนี้เยอะมากๆว่า “…ชีวิตมีแต่โทรศัพท์โทรมาทวงหนี้ ตอนนั้นอยากจะบอกกับเจ้าหน้าที่ไปว่ารู้สึกกดดันและเครียดมากจนไม่สามารถทำงานได้ อยากจะลาออก อยากจะหนีปัญหาโดยการฆ่าตัวตาย แต่ด้วยภาระทางบ้านที่ต้องดูแล ทำให้ล้มเลิกความคิดนี้ไป…” มาถึงเวลานี้​ ในประเทศไทยเรานี้​ เราต้องเชื่อได้แล้วว่ามีคนคิดจะตายไปเพื่อหนีหนี้ที่ตนเองนั้นก่อเอาไว้ และมันคงจะเกิดขึ้นจริงๆ​ ที่สำคัญมันอาจจะมาจากการเป็นหนี้ในระบบ​ ไม่ใช่หนี้นอกระบบอีกต่อไป

ในรายงานข่าววิเคราะห์ที่กระจายไปทั่วได้อ้างถึง​ พฤติกรรมการก่อหนี้​ และพฤติกรรมของการทำธุรกิจให้กู้กับคนที่อยากเป็นหนี้ไว้น่าสนใจว่า​

1. ที่ประชุม คณะกรรมการนโยบายการเงินหรือ​ กนง. เห็นว่าต้องมีการติดตามการขยายสินเชื่อโดยเฉพาะสินเชื่อส่วนบุคคลที่มีมาตรฐานการพิจารณาสินเชื่อที่ผ่อนปรนมากขึ้น และยังเห็นว่าควรเตรียมความพร้อมหากจำเป็นต้องออกมาตรการมาดูแลหนี้ครัวเรือนเพิ่มอีกในอนาคต(ผู้เขียน​ มาตรการที่ว่านี้คือเรื่อง​ DSR ที่มีข่าวว่าจะออกมาปลายปีนี้​ เริ่มใช้ต้นปีหน้าใช่หรือไม่)​

2. ปัญหาครัวเรือนไทยติดกับดักหนี้และมีหนี้สินล้นพ้นตัวนั้นมีให้เห็นในงานวิจัยที่น่าเชื่อถือหลายชิ้น ต่างก็ชี้ว่าคนไทยเป็นหนี้เร็วขึ้น คือ เริ่มก่อหนี้ตั้งแต่อายุยังน้อย และ 1 ใน 5 ของผู้กู้ในช่วงอายุ 29 ปี กลายเป็นหนี้เสีย และยังเป็นหนี้เยอะขึ้น คือมีปริมาณหนี้สินต่อหัวสูงขึ้นกว่าในอดีต ผู้กู้โดยเฉลี่ย มีภาระหนี้รวมทุกประเภทสินเชื่อเพิ่มขึ้นจาก 377,109 บาท เป็น 552,499 บาท ในช่วงเวลา 10 ปีที่ผ่านมา และยังเป็นหนี้นานขึ้นด้วย

3. ความรุนแรงของปัญหาหนี้สินมีผลจากพฤติกรรมของครัวเรือนซึ่งส่วนหนึ่งขาดทักษะความรู้ทางการเงิน (ผู้เขียนคิดว่ามันมีหลายมิติ​ รู้แต่ละเลย​ รู้แต่มองว่าน่าจะจัดการได้​ รู้แต่ไม่คิดจะทำ​ รู้ว่าเสี่ยงแต่ก็ยังจะทำ​ รู้ว่าผิดก็ยังจะทำ​และถ้าตัดสินใจได้อีกครั้งก็จะทำแบบเดิม​ รู้แล้วจะทำไมหละก็ทีคนถาม​ คนสอนก็ยังอยากจะทำแบบที่ตนเองทำไม่ใช่หรือ​ สุดท้ายคือพวกที่จะไปบอกอะไรให้ฟังก็จะตอบกลับมาว่ารู้แล้วไม่ต้องมาสั่งมาสอน) ​และ มีค่านิยมมองความสุขแค่ในปัจจุบันโดยไม่คำนึงถึงอนาคต กอปรกับกระแสบริโภคนิยม ความสะดวก รวดเร็วขึ้นในการเข้าถึงสินค้าและบริการที่นำเสนอ(ผู้เขียน​ รูดไปก่อนผ่อนทีหลัง​ เที่ยวไปก่อนผ่อนทีหลัง​ ฉลองไปก่อนผ่อนทีหลัง แม้แต่แต่งกันไปก่อนค่อยผ่อนทีหลัง​ ศัลยกรรมไปก่อนผ่อนทีหลัง​ ความสวยความหล่อผ่อนกันได้  เป็นต้น)​ พร้อมกับแคมเปญโปรโมชั่นและทางเลือกผ่อนชำระ อาทิ ข้อเสนอดอกเบี้ยศูนย์เปอร์เซ็นต์หรือแบ่งจ่ายหลายงวด (ผู้เขียน​ วาทกรรมการตลาด​ เก็บเงินสดไว้​ ผ่อนเป็นงวด​ ไม่มีดอกเบี้ย​ คุณพี่​ คุณลูกค้าไม่ได้เสียอะไรเลย​ ที่แรงสุดคือ​ จะโง่มากถ้าไม่เอาโปรครั้งนี้​ เพราะไม่มีดอกเบี้ยสักบาท)​ ซึ่งช่วยให้ภาระผ่อนต่อเดือนดูต่ำลง ทั้งหมดนี้เป็นปัจจัยกระตุ้นให้ผู้บริโภคจับจ่ายใช้สอยและก่อหนี้ได้ง่ายขึ้น​ เรียกกันภาษาชาวบ้านคือ​ ฝากับโลงมาเจอกัน​ แถมมีฆ้อนกับตะปูศูนย์เปอร์เซ็นต์​ตอกลงไป​ ก็เป็นอันจบ​ รอทำพิธฌาปณกิจทางการเงินส่วนบุคคล

4.มีการตีปลาหน้าไซว่า หากทางการประกาศเกณฑ์ปล่อยกู้โดยกำหนดเพดานภาระการชำระหนี้รวมต่อรายได้รายเดือน (DSR) มาใช้ในยามเศรษฐกิจกำลังแกว่งๆ และคนก่อหนี้ยากขึ้น คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อการเติบโตของสินเชื่อ รายย่อยของสถาบันผู้ให้กู้ค่อนข้างมาก (ชี้นำนิดๆว่าว่ามีโอกาสจะคุมระดับ DSR ไม่ให้เกิน 60% เนื่องจากหลายประเทศก็จะใช้เกณฑ์นี้… แต่ไม่บอกว่าประเทศไหนบ้าง)​

5.นักข่าวสายเศรษฐกิจไปถามผู้บริหารธนาคารกลาง​ ก็มีการเผยแพร่ออกมาว่า
การจัดทำมาตรการคุมการปล่อยสินเชื่อผ่านการกำหนด DSR ทำได้ยาก เนื่องจากสถาบันการเงินแต่ละแห่งมีวิธีคำนวณ DSR ที่แตกต่างกัน​ โดยเฉพาะคำนิยามของการนับว่าอะไรคือรายได้ที่จะนำมาใช้ในการคำนวณเพื่อการพิจารณาสินเชื่อ​ ในขณะเดียวกันเวลานี้ทุกภาคส่วนก็กำลังคุยกันถึง “แนวนโยบายการให้สินเชื่อ รายย่อยอย่างเหมาะสมเพื่อดูแลปัญหาหนี้เกินตัวของภาคครัวเรือน”

…. ที่มีข่าวว่าจะคุม DSR ไม่ให้เกิน 70% กรณีรายได้ไม่เกินสามหมื่นนั้น​ ยังไม่มีการพูดถึงเปอร์เซ็นต์กันเลย และเกณฑ์ที่จะประกาศใช้วันที่ 1 มกราคม 2563 ไม่ใช่ hard rule แน่นอน น่าจะเป็นการออกแนวนโยบายเพื่อให้ธนาคารปฏิบัติตาม ซึ่งเรื่องนี้ต้องเป็นการเปลี่ยนที่พฤติกรรมเสนอ ขายสินเชื่อของพนักงานที่สาขาธนาคาร จากเดิมที่ทำเช็กลิสต์ แล้วปล่อยสินเชื่อได้ ก็จะต้องทำความเข้าใจลูกค้ามากขึ้นว่า แต่ละคนมีภาระหนี้เท่าไหร่ และเหลือใช้เท่าไหร่ เป็นต้น…

กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา​
อดีตเป็นเหตุ​ ปัจจุบันเป็นผล
ปัจจุบันเป็นเหตุ​ อนาคตจะเป็นผล
ความไม่มีหนี้​ เป็นลาภอันประเสริฐ
แต่เมื่อท่านก่อหนี้​ ท่านก็ต้องใช้หนี้
สัญญาต้องเป็นสัญญา​
เป็นหนี้​ ต้องใช้หนี้​
เครดิตดี​ ไม่มีขาย​ อยากได้ต้องทำเอง

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “บทบาทการ “ติดดิน” ของธนาคารกลาง ธุรกิจมันก็ไปต่อได้” วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม 2562

บทบาทการ “ติดดิน” ของธนาคารกลาง ธุรกิจมันก็ไปต่อได้

ท่านผู้อ่านเคยได้ยินได้ฟังข้อความที่มีผู้คนกล่าวถึงคุณค่าบางอย่างของการทำงานของผู้คนในองค์กรที่ต้องมีความเชื่อถือในระดับที่สูง​ ได้รับความไว้วางใจจากสาธารณะมาก​ มากจนขนาดยอมออกมาเป็นปราการป้องกันการเข้ามาแทรกแซงจากภาคการเมืองได้​ องค์กรแบบนี้เขามีปรัชญา​ แนวคิดการประพฤติปฏิบัติกันอย่างไร​ ตัวอย่างหนึ่งของประเทศไทยเราคือ​ ธนาคารกลาง​ แนวคิดที่ได้มีการวางฐานคิดมาตั้งแต่ท่านผู้ว่าการรุ่นก่อนๆที่ว่า​ “ยืนตรง​ มองไกล​ ติดดิน และยื่นมือ” คือคำไทยๆ ที่มีความหมาย​ สิ่งที่ผู้เขียนขอนำมาเสนอในวันนี้คือคำว่า​ “ติดดิน” ซึ่งน่าจะหมายถึงการจะคิดจะทำอะไรต่อระบบนั้นจำเป็นต้องรับฟังจากทุกภาคส่วน​ เข้าใจว่าเขาเหล่านั้นทำอะไรกัน​ และทำไมเขาจึงต้องทำแบบนั้น​ มันคงไม่ใช่แค่ตั้งสมมติฐาน​ หาข้อมูล​ สร้างตัวแบบหรือ​ model และจัดทำผลสรุป​ และก็ผลัดกันเขียน​ เวียนกันอ่าน​ ผ่านกันชม​ เหมาะสมครับท่าน​ แต่ต้องลงไปรับฟังจากผู้ประกอบการ​ เอาใจเขามาใส่ใจเรา​ เอาใจไปคิด​ คิดแบบคนที่มีหัวใจ​มนุษย์​คนหนึ่ง​ เพราะเราไม่ใช่หุ่นยนต์​ และไม่ตกเป็นทาสของอคติว่า​ ที่คิดที่ทำนั้นดีที่สุดแล้ว​ เหมาะที่สุดแล้ว​ มันไม่มีทางผิดไปได้​
+ คนที่ไม่เคยมีหนี้สิน​ ไม่เคยต้องขวนขวายทำงานหนักเพื่อให้ได้บ้านสักหลัง​ คอนโดสักห้อง​หรือ
+ คนที่ไม่เคยตัดสินใจว่าจะให้กู้หรือไม่ให้กู้กับใคร​ เคยแต่วิพากษ์วิจารณ์​หลังจากเรื่องมันผ่านไปแล้ว​หรือ
+ คนที่ไม่เคยมีแรงกดดันทางธุรกิจ​ แรงกดดัน​จาก​ KPI ในเป้าหมายทางธุรกิจ
คนทำงานเหล่านี้ถ้าไม่เปิดใจรับข้อมูลจากคนที่ยื่นขอกู้​ คนที่ทำธุรกิจสร้างบ้านขายบ้าน คนที่ต้องตัดสินใจให้กู้ไม่ให้กู้​  เอาแต่คิดไปเองจากข้อมูลในมือ​ ที่สุดแล้วถ้าแม้นมันผิดจุดไปสักแห่ง​ มันเท่ากับไปลงโทษคนที่เขาไม่ได้ทำอะไรผิด​

เมื่อผมได้ทราบว่า​ ธนาคารกลางได้ดำเนินการผ่อนผันผ่อนปรนการนับสัญญาเงินกู้​ สินเชื่อที่อยู่อาศัย​ ในกรณีที่ผู้กู้ร่วมไม่มีชื่อเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์จะถือว่ายังไม่เป็นผู้กู้  จากเกณฑ์เดิมที่นับรวมผู้กู้ร่วมเป็นสัญญาแรก ซึ่งหากจะซื้อบ้านเป็นของตัวเองจะถูกนับเป็นหลังที่ 2 และต้องวางดาวน์ 20% มากกว่าหลังแรกที่ 5-10%

ผลบุญจากดวงตาที่เห็นธรรมดังกล่าวนี้จะทำให้คนที่เข้าไปร่วมด้วยช่วยผ่อน (เฉยๆ) แต่ไม่ได้คิดจะไปเป็นเจ้าข้าวเจ้าของในอสังหาริมทรัพย์ชิ้นนั้น​ ไม่ถูกลงโทษด้วยกติกาที่ออกมาป้องกันการเก็งกำไร​ เหตุเพราะคนที่ไปช่วยเขาเกิดอยากจะไปกู้ซื้อบ้าน​ ซื้อคอนโด​ เป็นที่อยู่อาศัยสัญญาแรก​ จะได้ไม่ต้องเจอเกณฑ์เหมือนตนเองกู้เป็นสัญญาที่สอง​ มันเหมือนกับกรณีชาวบ้านเขาอยู่ในป่าของเขามาแต่อดีต​ พอประกาศเขตป่าสงวนภายหลัง​ กลายเป็นพวกเขารุกป่า​ อย่างนี้มันก็ดูเหมือนไม่ยุติธรรม​

อีกประการหนึ่งคนที่ไปช่วยเขาผ่อนสัญญาแรกที่เรียกว่ากู้ร่วมนั้น​ ตอนเขาไปขอกู้บ้าง​ เขาต้องมีรายได้เหลือหลังหักยอดผ่อนที่ไปช่วยเขา​ เพื่อเอามาคำนวณยอดผ่อนต่อรายได้สำหรับเงินกู้ของเขาผ่านเกณฑ์​คนให้กู้ซึ่งก็ไม่ง่าย​ การจะมาให้เขาไปวางดาวน์​ที่สูงเหมือนเขามีเงินกู้บ้าน/คอนโดเหมือนสัญญาที่สองคงจะไม่แฟร์​ ผู้เขียนจึงขอปรบมือให้กับ​ ผู้ประกอบการที่หยิบเอาปัญหาจริงๆมาเสนอขอให้แก้ไข​ มิใช่เสนอปัญหาที่จะเอาตัวรอดในเรื่องธุรกิจ​ แต่มันคือการช่วยคนที่อยากมีบ้านให้ได้บ้าน​ ขอปรบมือให้กับทางการ​ ธนาคารกลาง​ ที่ติดดิน​ ไม่คิดว่านี่คือการเสียหน้าว่าออกกฎบกพร่อง​ แต่เข้าใจเรื่อง​ ยอมปรับปรุงเพื่อให้คนที่ไปช่วยผ่อนหรือผู้กู้ร่วมได้มีโอกาสได้บ้านตามเกณฑ์ตามสิทธิที่พึงจะเป็น​ เรื่องดีๆแบบนี้จะเป็นบวกต่อภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์​ เพราะจะช่วยบรรเทาผลกระทบของเกณฑ์ LTV ใหม่ต่อผู้ซื้อเพื่ออยู่จริง และผู้กู้ร่วมที่ตัองการซื้อบ้านของตัวเอง และจะเป็นปัจจัยหนุนให้โมเมนตัมฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ในช่วงที่เหลือของปี​ 2562

ทั้งนี้จากการคาดการณ์ของสำนักวิจัยหลักทรัพย์บางแห่งคาดว่า ผู้กู้ร่วมน่าจะมีสัดส่วนราว 20% ของตลาดรวม และพบมากในทาวน์เฮ้าส์ และกลุ่ม Mid-to-Low End (ราคาต่ำกว่า 3 ลบ.) ซึ่งต้องพึ่งพาเงินกู้ไปซื้ออสังหาริมทรัพย์นั้น

ในสังคมบ้านเรามีคำกล่าวไว้ว่า​ Cost of Face​ สูงกว่า Cost of Fund หรือบางครั้งสูงกว่า​ Cost of Fact ดังที่ผู้เขียนเคยได้รับการกระทำในอดีต​ ไม่มีใครตำหนิท่านที่ออกกติกาเก่านะครับว่า​ ไม่มีเจตนากระทำผิด​ เพราะเนื้อแท้แล้ว​ ท่านไม่ได้กระทำผิดตั้งแต่ต้น​ ความสุจริตเป็นศาสตร์​กำบังป้องคนทำงานเสมอ​ อันต่างจากใครบางคนที่แม้วันนี้ก็ยังขาดสำนึกว่ากระทำกับคนสุจริตจนเขาเจียนตายแต่เพราะมี​ Cost of Face​ จึงยังจะมีโอกาสกระทำผิดครั้งต่อไปได้อีก

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามนะครับ

เรื่องน่าอ่าน