เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “มองหาสาระจากการประชุมรัฐสภาในเรื่องนโยบายรัฐ” วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม 2562
มองหาสาระจากการประชุมรัฐสภาในเรื่องนโยบายรัฐ
จากการที่ได้ติดตามข่าวสาร ร่วมรับฟังในบางช่วงของการอภิปรายของการประชุมรัฐสภาในเรื่องการแถลงนโยบายตลอดช่วง 2 วัน และหากเราตัดเอาเรื่องดราม่า หรือเรื่องที่หาสาระไม่ได้ในส่วนของถ้อยคำที่แซะ ที่กระแทกกันออกไปให้หมด แล้วทำใจร่มๆ คิดแบบผู้เจริญแล้ว คิดแบบคนที่มุ่งค้นหาแก่นแบบไม่สนส่วนที่เป็นเปลือก เราจะเห็นสิ่งที่สะท้อนถึงปัญหาของประเทศ เหตุที่ขับเคลื่อนให้ไปข้างหน้าได้ยาก และการที่คนในแต่ละระดับไม่ว่าจะมีเกณฑ์แบ่งอย่างไร มันก็ยากที่จะเท่าเทียมกันโดยเฉพาะการเข้าถึงทรัพยากร การเข้าถึงแหล่งทุน การเข้าถึงความเท่าเทียมเท่าทันของกฎหมาย เรื่องเด็ดๆ ที่ผมต้องหยิบปากกามาจดสาระเพื่อเอามาเขียนเป็นบทความในมุมของตัวเองมีดังนี้ครับ
1.การเขียนนโยบายเป็นไปในรูปของแนวคิดแนวทางที่คิดที่กำหนดว่าจะทำแต่จะมีความยืดหยุ่น ปรับเปลี่ยนได้ ไม่ตึงตัวตายตัวจนเกินไป ในมุมคนที่อยากจะไล่บี้ ไล่ขุด ไล่วิจารณ์ ไล่ด่า มันจึงทำได้ยาก เพราะจากชุดแนวนโยบาย มันจะนำไปสู่มาตรการที่จะทำ แผนงานที่จะทำ งบประมาณที่จะใช้ เป้าหมายที่จะกำหนดเพื่อติดตามประเมินผลต่อไป
2.มีการพูดถึงการเขียนแนวนโยบายที่ไม่อยู่ในระนาบเดียวกัน บางเรื่องเป็นเหตุที่ทำให้เกิด บางเรื่องเป็นผลที่ต้องแก้ บางเรื่องเป็นกระบวนการที่ต้องปรับเปลี่ยนเช่น ปัญหาที่เกษตรกรขาดที่ดินทำกินเป็นของตัวเอง พอจะทำมาหากินก็มีต้นทุนค่าเช่ามารอ ปลูกก็ต้องรีบทำให้ได้ผลผลิตเร็วๆ เพื่อขายเอามาชำระหนี้ ชำระหนี้ได้ยากก็เป็นหนี้นอกระบบ พอมาถึงจุดหนึ่งที่มันต้องอยู่ให้รอดแล้ว แม้ว่าจะต้องผิดกฎหมาย ต้องบุกรุกป่าก็ต้องทำ ไม่ทำก็อดตาย จำนวนเกษตรกรก็มีสามสิบล้านคนดังที่ท่านรองนายกว่าไว้ แต่สร้างรายได้ประชาชาติได้เพียง 10% มันไม่มีทางจะพอกิน รายได้สามหมื่นบาทต่อปี สองพันบาทต่อเดือน มันอยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีพวกบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ กองทุนหมู่บ้าน 30 บาทรักษาทุกโรค เบี้ยยังชีพคนชรา คนด้อยโอกาส คนพิการ ก็ต้องมีเป็นฟองน้ำรองรับการล้มลงมาของคนในฐานราก เพราะเขาคือคนไทยด้วยกัน
3.มีการพูดถึง สมัยหลังวิกฤติต้มยำกุ้ง ใช้เวลาหกปีในการซ่อม ไม่มีเวลาสร้าง รัฐบาลไม่ต่อเนื่องโครงสร้างพื้นฐานล้าสมัย พอจะเริ่มทำก็เจอน้ำท่วมใหญ่ หายนะมากมาย รณรงค์ปลูกยางทั่วประเทศแต่ไม่มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม จำนำข้าวแบบเริ่มต้นดีต่อมากลายเป็นทุจริต พอมีข้าวมากองในมือรัฐถึง 17 ล้านตันมันก็ไปทำลายกลไกตลาด ราคามันไม่ไป คนขายคนปลูกที่เล็งว่าจะมีรายได้ดันไปก่อหนี้แล้ว รายได้อนาคตไม่มา แต่หนี้ปัจจุบันมีดอก มันก็จบข่าว ครั้นต่อมาจะเริ่มขยับก็ทะเลาะกันทุกระดับ แตกแยกชนิดไม่เคยพบเห็น ทำลายกันและกัน ไม่มีใครอยากมาประเทศเรา ท่องเที่ยวก็จบ การลงทุนไม่มีมาเติม ชีพจรประเทศแผ่วมาก ถ้าเป็นคนก็เรียกว่าจะหายใจด้วยตัวเองไม่ได้แล้ว เมื่อมีคณะเข้ามาควบคุมอำนาจ ก็ทำอะไรได้ไม่มากเท่าที่คิดไว้ เวลาหมดก็เข้าสู่ยุคประชาธิปไตยผ่านตัวแทน แต่ก็เริ่มการกล่าวหาว่าปล้นอำนาจ โกงเข้ามา จุดนี้ผู้เขียนคิดว่า คนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาแล้ว ควรเคารพตัวเองบ้าง นึกจะพูดจะทำอะไร คิดถึงความเหมาะควร
4.เราได้เห็นศักยภาพของคนรุ่นใหม่ที่ร้อนวิชามาร วิชาเทพ วิชาการ และวิชาเกิน มันจำลองมาให้เห็นเลยว่าจะดีจะชั่วมันไม่ได้อยู่ที่อายุมาก อายุน้อยเลยทีเดียว ในหมู่คนดีๆมีคนแย่ๆ ในหมู่คนที่เราคิดว่าเป็นคณะที่คิดในทางซ้ายแบบสาธารณรัฐ (Republic) ก็มีคนที่คิดแบบเสรีนิยมประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นองค์ประมุข คนรุ่นใหม่ที่ให้แนวคิด แนวทาง ข้อเสนอในการปรับแต่งแนวนโยบายเพื่อที่ตอนที่ตอนลงไปทำมาตรการ โครงการ มันจะได้สอดคล้องต้องกัน คนอายุน้อยพูดได้น่าคิด คนอายุมากที่เป็นรัฐมนตรีก็กล่าวขอบคุณและรับจะนำไปคิดไปทำต่อ หากเป็นแบบนี้เชื่อว่าชาติเดินหน้าได้แน่นอน
- สุดท้ายเราได้เห็นสิ่งที่เรียกว่าความวุ่นวายปั่นป่วนในการประชุมที่ดูได้ว่าเจตนาจะให้เกิดการเผชิญหน้า ได้เห็นการประท้วงที่ไม่มีสาระ ได้เห็นการใช้ความเก๋า ความแม่นในตัวบท เอามากำกับพฤติรรมของคนที่พยายามหรือแม้ไม่พยายามแต่ก็ไมให้ความร่วมมือ ให้คนเหล่านั้นเกิดความสงบเรียบร้อย อันนี้ต้องขอชื่นชมท่านอดีตนายกชวน ที่เป็นครูใหญ่ในการประชุมได้เด็ดขาดทีเดียว
ประเทศยังมีความท้าทายอีกมากมาย สงครามการค้ายังไม่จบ การปกครองและดุลยอำนาจเปลี่ยน วัฒนธรรม ความคิด ความเห็นเปลี่ยน วิธีการค้า การซื้อ การขายเปลี่ยนไป สิ่งเดียวที่เหมือนกันคือ ทุกคนที่มีส่วนจะต้องโดนคือภาษีและการปฏิบัติตนให้เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด ท้ายที่สุดคือเราทุกคนล้วนต้องตาย ไม่มีใครเอาอะไรไปได้สักอย่างเดียว
ขอบคุณครับ
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “บทความ เรื่องเร่งด่วนของ SME ที่เกี่ยวกับเครดิตบูโร” วันจันทร์ที่ 22 กรกฎาคม 2562
บทความ เรื่องเร่งด่วนของ SME ที่เกี่ยวกับเครดิตบูโร
เมื่อท่านรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมคนใหม่ได้เข้าทำหน้าที่ และเปิดตัวโดยให้นโยบายและแนวทางถึงการที่ ประเทศไทยกำลังปรับตัวเข้าสู่ยุค “Thailand 4.0” ซึ่งเป็นเศรษฐกิจที่เน้นการสร้างมูลค่า (Value-Based Economy) และการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม (Innovation-Driven Economy) โดยมีหัวใจสำคัญอยู่ที่การพัฒนาคนของทุกภาคส่วนให้มีความรู้ความสามารถสมัยใหม่โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งภาคอุตสาหกรรมนับเป็นหัวหอกหลัก เป็นกำลังหลักในการลากจูง ขับเคลื่อนไปสู่เป็าหมายแน่นอนว่าผู้ประกอบการภาคอุตสาหกรรมไทย ทั้งภาคการผลิต ภาคการบริการและภาคการค้า ต้องรีบปรับตัวรองรับการเปลี่ยนผ่านเข้าสู่โลกยุคดิจิทัลไม่ว่าจะเป็น อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ SME หรือคนตัวเล็ก ธุรกิจขนาดจิ๋วก็ตาม อันนี้เป็นภาพใหญ่ที่ใครเข้ามาทำหน้าที่ก็ต้องแก้ไข
ทีนี้ก็มาถึงเรื่องเร่งด่วนที่ฝ่ายนโยบายคณะใหม่จะเข้ามาดำเนินการก่อนคือ
1. การส่งเสริม 10 อุตสาหกรรมเป้าหมายใหม่แห่งอนาคตตามนโยบายของรัฐบาลเดิมต่อเนื่องมายังรัฐบาลใหม่ชุดนี้เช่น อุตสาหกรรมหุ่นยนต์ การบินและโลจิสติกส์ การแพทย์ครบวงจร เชื้อเพลิงชีวภาพและเคมีชีวภาพ ดิจิทัล การแปรรูปอาหาร ยานยนต์แห่งอนาคต อิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะ เป็นต้น
2. การหาแนวทางให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการ SME โดยมีแนวคิดที่จะหารือกับกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศ ไทย (ธปท.) เกี่ยวกับแหล่งเงินทุนและมาตรการด้านการเงิน ช่วยลดข้อจำกัดต่างๆ เช่น เรื่องเครดิตบูโร การลดอุปสรรคในการประกอบธุรกิจ เป็นต้น
3. ในเรื่องการปรับค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำนั้นก็ให้เป็นหน้าที่ของคณะกรรมการไตรภาคีต้องไปหารือกันให้ได้ข้อสรุปก่อน เพราะค่าแรงเป็นต้นทุนในกระบวนการผลิตสินค้าตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคปลายทาง
จากข้อ 2 ที่ระบุถึงเครดิตบูโรนั้น ผู้เขียนขอเรียนรายละเอียดข้อเท็จจริงเพิ่มเติมว่าประเด็นหนึ่งที่ควรหยิบขึ้นมาพิจารณาคือ ลูกหนี้ SME ที่ทำการปรับโครงสร้างหนี้แล้วไปต่อได้ยากในการหาแหล่งทุนมาสนับสนุนทั้งที่เป็นการปรับโครงสร้างหนี้ด้วยความสมัครใจ ไม่ใช่การถูกบังคับจากเจ้าหนี้ หรือเป็นการปรับโครงสร้างหนี้ภายใต้คำพิพากษา หรือการทำยอมในศาล ผู้เขียนขอเล่ารายละเอียดให้ฟังเพื่อพิจารณา จะเห็นด้วยเห็นต่างไม่ว่ากันครับ เรื่องมันจะเป็นประมาณนี้…
การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของลูกค้า SME ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงและต้องการการผ่อนผันกฏเกณฑ์ที่เห็นได้ว่าเข้มงวดเกินไปในขณะนี้ จนส่งผลให้สถาบันการเงินไม่มีทางเลือกที่ต้องดำเนินการไปตามทิศทางนั้นตัวอย่างเช่น การที่ธนาคารกลางผู้กำกับดูแลสถาบันการเงินไปกำหนดเกณฑ์ว่าหากสัญญาเงินกู้กำหนดให้มีการชำระต้นเงินและดอกเบี้ยเช่น การผ่อนสินเชื่อธุรกิจ ผ่อนบ้าน ผ่อนรถยนต์ ผ่อนสินเชื่อส่วนบุคคล ที่มีการกำหนดต้นและดอกไว้ในเงินงวด ซึ่งหากลูกค้าประสบปัญหาบางช่วงที่ไม่สามารถจ่ายเต็มยอด แต่สามารถจ่ายได้แค่ดอกเบี้ยแล้ว กฏได้ระบุว่าต้องจัดชั้นสินเชื่อรายนั้น ผลคือธนาคารก็ต้องสำรองเพิ่มทันที ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง หากธนาคารไม่ต้องการกันสำรองรายการนั้น ธนาคารก็จะให้ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ อาจด้วยการปรับตารางการชำระหนี
แต่พอลูกค้าต้องปรับโครงสร้างหนี้ด้วยความสมัครใจ และไม่ใช่เป็นปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ที่แท้จริง แต่เป็นการขาดสภาพคล่องชั่วคราว เช่น ลูกหนี้การค้าชำระหนี้ล่าช้าเป็นต้น กลับเป็นว่าเมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้ ผู้ตรวจสอบธนาคารก็จะถือเอาว่าเป็นลูกค้ากลุ่มอ่อนแอ หากใครจะให้สินเชื่อเพิ่มเพื่อแก้ไขการขาดสภาพคล่องชั่วคราว ก็จะถูกสั่งสำรองเพิ่ม ซึ่งก็ทำให้ธนาคารไม่อยากให้สินเชื่อกลุ่มนี้ และกลายเป็นต้องให้ลูกค้ากลุ่มนี้รอดูใจออกไป 12-24เดือนจึงจะพิจารณาสินเชื่อใหม่ ตรงนี้คือสิ่งที่หากมีมาตรการออกมาผ่อนผันผ่อนปรน ประวัติในเครดิตบูโรก็ยังเป็นไปตามความจริง และคนให้กู้ก็สบายใจมากขึ้นที่จะพิจารณาให้กู้ครับ
ขอบคุณที่ติดตามนะครับทุกท่าน
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “ทบทวนข้อจำกัดในอดีตแล้วมองไปข้างหน้าของการเข้าถึงสินเชื่อ” วันจันทร์ที่ 15 กรกฎาคม 2562
ทบทวนข้อจำกัดในอดีตแล้วมองไปข้างหน้าของการเข้าถึงสินเชื่อ
บทความของผู้เขียนในวันนี้มีภาพประกอบจากเอกสารงานวิชาการของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจกสิกรไทยที่ได้เคยนำเสนอในงานประชุมวิชาการประจำปีธนาคารแห่งประเทศไทยปี 2557 ผมได้ไปเจอเอกสารนี้อีกครั้งด้วยเหตุสองประการ ประการแรก คือต้องย้ายสถานที่ทำงานทำเลใหม่ประการที่สองได้มีคำถามจากผู้คนในแวดวงสถาบันการส่งเสริม สนับสนุน SME ให้มีขีดความสามารถเพิ่มขึ้น
ต้องขอเรียนว่าหัวข้อพวกนี้เรื่องการกู้ไม่ได้ คนให้กู้ไม่รู้จักคนขอกู้ มีข้อมูลน้อยเกินไป ข้อมูลไม่ชัวร์ ฟากฝั่งคนขอกู้ก็มองว่าสถาบันการเงินไม่ฉลาด หาลูกค้าไม่เป็น ดีๆอยู่ตรงนี้ไม่เอา พยายามไปหาไอ้ที่จะกลายเป็นหนี้เสีย จนมีคำพูดประชดประชันว่า
“ธนาคารคือสถาบันการเงินคนให้กู้ที่พยายามยัดเยียดเงินกู้ให้กับคนที่ไม่ต้องการ(คงหมายถึงรายใหญ่ๆ)แต่จะปฏิเสธการขอกู้จากคนที่เขามีความต้องการเงินกู้(คงหมายถึงรายเล็กๆ SME)” คำถามคือทำไมมันเป็นอย่างนั้น ผมลองเอาข้อมูลปี 2557 มานำเสนอนะครับ ขอท่านผู้อ่านดูรูปแล้วพิจารณาประกอบกันไป
ท่านผู้อ่านจะเห็นว่า ปัจจัยสำคัญคือสิ่งที่อยู่ด้านซ้ายของภาพที่ระบุว่า
1.การแข่งขันไม่เพียงพอหรือไม่
2.ลูกค้าคนขอสินเชื่อได้รับเงื่อนไขที่ดีหรือยัง หากเราพิจารณาสองข้อนี้ในปัจจุบันจะเห็นว่ามันน่าจะเป็นประเด็นได้ ในระบบเรายังขาดผู้เล่นพวก Non bank, Fintech, TechFin, Platform ที่จะเข้ามาแข่งขันการให้สินเชื่อกับคนตัวเล็กหรือ SME ทุกวันนี้ก็เอาสินเชื่อเพื่อการบริโภคแบบดอกเบี้ยแพงมาหมุน เรื่องของ P2P Lending ก็ไม่เห็นเด่นชัดว่าจะไปได้ดี ในต่างประเทศเขาอนุญาตให้สถาบันตัวกลางเหล่านี้ส่งข้อมูลเข้าเครดิตบูโรและสามารถใช้ข้อมูลจากเครดิตบูโร ใช้ Credit Score มาช่วยในการให้สินเชื่อ และกระบวนการสินเชื่อจะเป็นแบบ Digital Lending
เรื่องต่อมาคือปัจจัยด้านขวาของรูปในประเด็นการสร้างกติกาให้เกิดความสมดุลในการตั้งสำรองหนี้สูญหรือหนี้สงสัยจะสูญ การเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อของลูกค้า SME ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวลงและต้องการการผ่อนผันกฎเกณฑ์ที่เห็นได้ว่าเข้มงวดเกินไปในขณะนี้ จนส่งผลให้สถาบันการเงินไม่มีทางเลือกที่ต้องดำเนินการไปตามทิศทางนั้นเช่น การที่ไปกำหนดเกณฑ์ว่าหากสัญญาเงินกู้กำหนดให้มีการชำระต้นเงินและดอกเบี้ย เช่น การผ่อนบ้าน การผ่อนรถยนต์ การผ่อนสินเชื่อธุรกิจ ที่จะมีการกำหนดต้นและดอกไว้ในเงินงวด ซึ่งหากลูกค้าประสบปัญหาบางช่วงที่จะสามารถจ่ายได้แค่ดอกเบี้ยแล้ว กฏได้ระบุว่าต้องจัดชั้นสินเชื่อรายนั้น ผลคือธนาคารก็ต้องสำรองเพิ่มทันที ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายที่สูง หากธนาคารไม่ต้องการกันสำรองรายการนั้น ธนาคารก็จะให้ลูกค้าปรับโครงสร้างหนี้ อาจด้วยการปรับตารางการชำระหนี้ หรือพักชำระหนี้ช่วงเวลาสั้นๆ
แต่พอลูกค้าต้องปรับโครงสร้างหนี้ด้วยความสมัครใจ และไม่ใช่เป็นปัญหาความสามารถในการชำระหนี้ที่แท้จริง แต่เป็นการขาดสภาพคล่องชั่วคราว เช่น ลูกหนี้การค้าชำระหนี้ล่าช้า เป็นต้น กลับเป็นว่าเมื่อมีการปรับโครงสร้างหนี้ ผู้ที่กำกับดูแลก็อาจจะถือเอาว่าเป็นลูกค้ากลุ่มอ่อนแอ หากใครจะให้สินเชื่อเพิ่มเพื่อแก้ไขการขาดสภาพคล่องชั่วคราว ก็จะถูกสั่งสำรองเพิ่ม ซึ่งก็ทำให้ธนาคารไม่อยากให้สินเชื่อกลุ่มนี้ และกลายเป็นต้องให้ลูกค้ากลุ่มนี้รอดูใจ รอดูการชำระหนี้เดิมออกไป 12-24 เดือน จึงจะพิจารณาสินเชื่อใหม่ ข้อเท็จจริงนี้หากคลาดเคลื่อนไปก็ขอให้ท่านผู้รู้หรือบรรดากูรู กูรู้ทั้งหลายทั้งปวงได้โปรดออกมาชี้แจงแถลงไขด้วยนะครับ
การกำหนดกติกาป้องกันและบริหารความเสี่ยงโดยคนที่ไม่เคยปล่อยสินเชื่อ เคยแต่วิจารณ์หลังการปล่อยสินเชื่อไปแล้ว มันเหมือนคนเชียร์มวยข้างเวที ตัวเองไม่ได้ชกแต่ไปคิดว่าเพื่อให้ไม่เจ็บต้องหลบหลีกแบบนี้ เวลามองก็เห็นแต่สิ่งที่อยู่ตรงหน้า ไม่เห็นด้านหลัง และถ้ายิ่งมีความคิดว่าเพื่อให้งานของตัวเองไม่เสี่ยง ไม่เสี่ยงที่จะถูกตั้งประเด็น ก็เลยจัดเต็ม ทั้งที่มันไม่ควรจะไปไกลขนาดนั้นไหม ในภาวะเศรษฐกิจที่ต้องเกื้อหนุน เกื้อกูลกัน อยากเห็นปัญหาว่า สินเชื่อ SME ปล่อยง่ายเกินไป มีแหล่งเงินกู้เพียบ แข่งขันจนดอกที่จะคิดเตี้ยติดดิน แทบไม่มีกำไร เจ้หน้าที่ที่ดูแลลูกค้าแทบจะกราบกรานให้ SME มาใช้บริการ ภาพพวกนี้เราคงจะไม่เห็น ไม่มีโอกาสเห็น และแทบจะไม่เห็น ถ้าเราเป็นคนในยุคเทคโนโลยีที่ดีที่สุดในการส่งเอกสารคือ Fax ขณะที่มีความคิดในยุคนั้นเรากลับมาพยายามเอาเทคโนโลยีระดับนั้น ที่ดีที่สุดในอดีตเวลานั้นมากำกับดูแลในยุคนี้ ยุคที่การส่งเอกสารคือใช้ Line Application อาการแบบนี้ก็ไม่รู้เหมือนกันครับว่าจะหลุดออกมาได้อย่างไรนอกจากเข้าโครงการเกษียณก่อนกำหนด
คล้ายๆกับว่าคนขอกู้เข้าห้องฉุกเฉิน (ER)และคนที่พิจารณาเงินให้กู้ คนกำกับดูแลก็เข้าโครงการ ER ด้วยเช่นกัน…. ขอบคุณครับที่ติดตาม
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “ทุกข์ของคนเป็นหนี้ ที่คิดจะแก้หนี้ด้วยหนี้” วันจันทร์ที่ 8 กรกฎาคม 2562
ทุกข์ของคนเป็นหนี้ ที่คิดจะแก้หนี้ด้วยหนี้
บทความวันนี้ผู้เขียนขอนำเอาข้อเท็จจริงขอผู้คนที่ส่งเรื่องเข้ามาที่เครดิตบูโรผ่านช่องทางการสื่อสาร ในเนื้อหาไม่ว่าจะเป็นจริงขนาดไหน มันได้สะท้อนกลิ่นอายของความทุกข์ยาก ที่เข้าใจได้ว่าคนที่มีหนี้แล้วใช้หนี้ไม่ได้ตามเงื่อนไขของสัญญาในเวลาหนึ่งในอดีต มันก็เกิดประวัติการค้างชำระขึ้นตามข้อเท็จจริง ทีนี้พอไม่ไปจ่ายต่อเนื่องมันก็สะท้อนว่ามีความสามารถในการชำระหนี้น้อยลงไป หนี้ที่ค้างยังไม่ได้ไปชำระ แต่ก็คิดหาหนทางแก้ไขด้วยการจะไปก่อหนี้ใหม่ ทางหนึ่งก็เพื่อเอามาชำระหนี้ที่ค้างอยู่เดิม ส่วนที่เหลือ (หากกู้ได้มากกว่ายอดหนี้ที่ค้างชำระ) ก็จะเอาไปหมุนเวียนใช้จ่าย แต่ความเป็นจริงในกระบวนการบริหารและป้องกันความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่ถูกกำกับดูแลอย่างเข้มข้นย่อมทำได้ยากจนถึงยากมากที่สุด เพราะมันไม่มีใครสามารถให้เงินกู้ใหม่ได้ทั้งที่เงินกู้เก่ายังค้างชำระคาตาอยู่ มันไม่มีใครสามารถหยิบเงินฝากจากคนฝากที่เขาไว้เนื้อเชื่อใจตัวสถาบันการเงิน เพื่อนำไปปล่อยกู้ให้กับคนที่อยากกู้แต่มีคุณสมบัติ คุณลักษณะที่อาจจะเชื่อได้ว่าขาดความสามารถในการชำระหนี้ได้นั่นเอง ท่านผู้อ่านลองใจร่มๆ ใจเย็นๆ อ่านในใจ คิดเงียบๆ มองให้ลึกว่า ถ้าเราเป็นคนขอกู้ ถ้าเราเป็นคนตัดสินใจจะให้กู้ดีหรือไม่ ถ้าเราเป็นคนฝากเงิน ถ้าเราเป็นธนาคารกลาง ถ้าเราเป็นผู้ตรวจสอบสถาบันการเงิน ถ้าเราเป็นนักวิชาการ ถ้าเราเป็นนักวิชาเกิน ถ้าเราเป็นคลินิกแก้หนี้ ถ้าเราเป็นเครดิตบูโร ถ้าเราเป็นคนเดินดินกินข้าวแกงและมีหนี้ เราคิดกันอย่างไร อะไรคือคำตอบที่ดีที่สุด ข้อความมีดังนี้
…. ผมยื่นขอกู้สถาบันการเงินไป 10 กว่าแห่ง ไม่ได้รับอนุมัติสักแห่งเพราะติดเครดิตบูโร ค่างวดรถ ผมส่งช้าติดกัน 2 งวด
ครอบครัวก็เดือดร้อนเพราะไม่มีเงินใช้จ่าย ไม่มีเงินซื้อข้าวสาร ต้องไปยืมข้าวสารข้างบ้านมาหุงให้ครอบครัวกินกับเกลือในวันนี้แล้ววันพรุ่งนี้จะมีอะไรกินกันทรมานไหม
มีบ้านมีที่ดินแต่เป็นที่ สำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) จะไปจำนำที่ไหนได้ ไม่มีใครเขารับเป็นประกันหนี้ ขายก็ไม่ได้
บริษัททวงหนี้ก็ทวงทุกวัน ทำงานอยู่ก็โทรตาม โทรจิก ไม่มีความสุขเลย จะขายชีวิต ขายไต ขายหัวใจ ขายลูกตาก็ไม่มีใครซื้อ
ทางออกอยู่ตรงไหนครับ คลินิกแก้หนี้ก็สมัครไม่ได้อีก…
ถ้าท่านผู้อ่านคิดว่าที่ผู้เขียนยกมามันเกินเหตุ ไม่มีอยู่จริง ก็มาขอดูหลักฐานได้นะครับ บ้านเราเมืองเรา ผู้คนของเราไม่ว่าจะชั่วดีถี่ห่างอย่างไรก็ไทยด้วยกันทั้งสิ้นเวลานี้ได้สะท้อนออกมาเป็นตัวหนังสือที่ชัดเจนแล้ว หนี้ครัวเรือนไทยพิษร้ายมันก็พอๆ กับไข้เลือดออกในเด็กๆ หรือเท่ากับวัณโรคสำหรับผู้ใหญ่ ท่านนักวิชาเกิน ท่านที่เป็นกู้รู้ (อ้างตัวว่าเป็นกูรู) ท่านไม่ต้องบอกว่าให้แก้โดยทำบัญชีครัวเรือน หรือบอกให้แก้ด้วยการให้ความรู้ทางการเงินนะครับ หรือไม่ต้องบอกว่าต้องเร่งเสริมสร้างวินัยทางการเงิน หรือบอกว่าต้องรีบให้มีหลักสูตรการบริหารเงินส่วนบุคคลนะครับ มันไม่ทันแล้ว ไฟกำลังไหม้หลังคาแล้ว อย่าบอกให้อ่านคู่มือการทาสีบ้านป้องกันปลวกแมลง
ผู้เขียนขอสารภาพตรงนี้เลยนะครับว่า หมดภูมิความรู้ที่จะให้คำแนะนำ หรือคำชี้แนะแล้วครับ ได้แต่คิดถึงคำพระในใจแต่ไม่กล้าบอกว่า
กรรมเป็นเครื่องชี้เจตนา
อดีตเป็นเหตุ ปัจจุบันเป็นผล
ปัจจุบันเป็นเหตุ อนาคตเป็นผล
การไม่มีหนี้ เป็นลาภอันประเสริฐ
ไม่มีใครรอด ด้วยการเอาหนี้มาใช้หนี้
กราบขอบพระคุณทุกท่านที่ติดตามครับ
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) “3 เรื่อง 3อารมณ์ มองลึกๆเราน่าจะเห็นอะไรถ้าไม่หลอกตัวเอง” วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน 2562
3 เรื่อง 3อารมณ์ มองลึกๆเราน่าจะเห็นอะไรถ้าไม่หลอกตัวเอง
บทความวันนี้ผมใคร่ขอนำเรียนข่าวสารที่ออกมาจากองค์กรที่มีความแตกต่างในภารกิจแต่หากมองแบบมีสติเต็มเปี่ยม คิดพิเคราะห์ดีๆ มองให้ลึกๆแล้ว เราน่าจะเห็น”อะไร” บางอย่างในความจริงเรื่องการเป็นหนี้ การก่อหนี้ การเป็นทุกข์กับหนี้ การแก้หนี้ และผมได้พบกับผู้คนมากมายที่คาดหวัง “อัศวินขี่ม้าขาว” มาช่วยปัดเป่าทุกข์ด้วยนโยบายประชานิยมประเภท… ยุบหนี้ ยืดหนี้ โยกหนี้ พักชำระหนี้… ซึ่งเราจะได้เห็นหรือไม่เห็นก็คงอีกไม่นานนี้ครับ เรื่องราวที่อยากนำเสนอคือ
เรื่องที่ 1 : ผู้บริหารทันสมัย หัวก้าวหน้า ซึ่งดำเนินธุรกิจ โรงรับจำนำรูปแบบใหม่ได้ให้ข่าวเปิดเผยว่า บริษัทมีเป้าหมายที่จะขยายโรงรับจำนำให้มีสาขาเพิ่มขึ้นและสาขาทั้งหมดจะอยู่ในภาคตะวันออกเพื่อรองรับโครงการ EEC ที่ถือเป็นพื้นที่ที่มีศักยภาพในการประกอบธุรกิจโรงรับจำนำอย่างมาก สำหรับผลประกอบการในปี 2562 นี้คาดว่าจะเติบโตประมาณ 25% โดยมียอดรับจำนำเดือนละประมาณ 3,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะมียอดเพิ่มขึ้น 20% ต่อเดือนในปี 2563
มีการคิดดอกเบี้ยตามที่ กฎหมายกำหนดโดยทรัพย์ไม่เกิน 2,000 บาท ดอกเบี้ยไม่เกิน 2% ต่อเดือน หากเกิน 2,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ย 1.25% ต่อเดือน สำหรับสินค้าจะรับจำนำจะเปิดกว้างรับตั้งแต่นาฬิกาข้อมือ ทอง เพชร พลอย เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าแบรนด์เนมและอื่นๆ ที่ถือเป็นทรัพย์เอาแลกเปลี่ยนเป็นเงิน
โรงรับจำนำถือเป็นสถาบันการเงินที่เก่าแก่ที่อยู่กับสังคมไทยมายาวนานและเป็นที่พึ่งของคนที่ขาดสภาพคล่อง (ผู้เขียน : การขาดสภาพคล่องมาจากสาเหตุใด จากกลุ่มฐานะใด ควรมีการศึกษาและเปิดเผยออกมาหรือไม่ ตลอดจนภาครัฐควรจัดมาตรการแก้ไขแบบเบ็ดเสร็จในบางกลุ่มที่ต้องช่วยแบบสวัสดิการเลยหรือไม่ ขอตั้งเป็นประเด็นไว้ก่อน) การทำธุรกิจจะใช้แนวคิดโรงจำนำที่มีความทันสมัย ใช้เวลาการบริการลูกค้าแบบง่ายๆ สะดวกรวดเร็ว ใช้เพียงบัตรประชาชน ไม่นำเอาเครดิตบูโรหรือข้อมูลเครดิตมาพิจารณาและใช้เวลาไม่เกิน 3 นาทีต่อราย
เรื่องที่ 2 : ผู้บริหารกิจการธุรกิจสินเชื่อส่วนบุคคลหรือ P-Loan ประเภทกู้เป็นก้อน ผ่อนเป็นงวด สินเชื่อ 0% ระบุว่าภาพรวมตลาดสินเชื่อบุคคลยังขยายตัวได้ปีนี้ แต่มีแรงกดดันจากสถานการณ์หนี้ครัวเรือนที่ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ราว 79% อยู่ในระดับและภาครัฐมีความกังวลและติดตามสถานการณ์อยู่ ซึ่งล่าสุดทราบว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เตรียมจะออกเกณฑ์เกี่ยวกับสัดส่วนภาระหนี้ต่อรายได้ (DSR) ออกมากำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อให้กับกลุ่มที่มีภาระหนี้สูง(ผู้เขียน:ยังไม่ชัดว่ากลุ่มไหนนะครับ) ต้องติดตามเกณฑ์ที่ชัดเจนจะเป็นอย่างไรและจะมีผลต่อการปล่อยสินเชื่อบุคคลใหม่หรือไม่ แต่มองว่าอาจจะกระทบกับการผ่อนสินค้าเพราะการคิดภาระหนี้จะคิดเป็นยอดรวม ไม่ได้แยกเป็นยอดแบ่งชำระในแต่ละเดือน ทั้งนี้ที่ผ่านมา ธปท. ได้ออกเกณฑ์กำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อบุคคลโดยให้ขอกู้ไม่เกิน 3 ผู้ประกอบการ ซึ่งมีผลกระทบให้ลูกค้าใหม่ลดลงไปราว 5-10% สอดคล้องกับอุตสาหกรรม โดยในช่วงครึ่งปีหลัง 2562 จะเดินหน้าธุรกิจต่อเนื่อง คาดว่าความต้องการสินเชื่อในช่วงครึ่งปีหลังจะขยายตัวมากกว่า ครึ่งปีแรก(ผู้เขียน:หนี้ครัวเรือนสูง กำลังจะออกมาตรการเข้ม แต่คนปล่อยกู้มีแผนขยายตัว และคาดว่าคนอยากขอกู้มากขึ้น… ผู้เขียนน่าจะแปลความสรุปได้ถูกนะครับ)
เรื่องที่ 3 : กรรมการผู้จัดการ บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท (บสส.) หรือ SAM จัดงาน “พบกันวันหยุดกับคลินิกแก้หนี้” ทุกวันเสาร์ตลอดเดือนมิถุนายน ตั้งแต่เวลา 09.00-16.00 น. โดยย้ายสถานที่จัดงานเป็นที่สำนักงานใหญ่ของ SAM ณ ชั้น 24 อาคารซันทาวเวอร์ส บี บริเวณห้าแยกลาดพร้าว กรุงเทพฯ เพื่อเปิดโอกาสและอำนวยความสะดวกให้กับผู้ที่เป็นหนี้เสียบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกันของธนาคารพาณิชย์ที่เข้าร่วมโครงการ 16 แห่ง รวมทั้งผู้ประกอบธุรกิจทางการเงิน หรือที่เรียกว่า Non-Bank จำนวน 19 แห่ง (หมายถึง คนที่ค้างชำระเกิน 90วันหรือค้างเกินสามงวดหรือคนที่เป็น NPL) ที่ไม่สามารถเข้ามาขอคำปรึกษากับเจ้าหน้าที่ได้ในวันทำการปกติ ได้มีโอกาสเข้ามาสมัครเข้าร่วมโครงการ และขอคำปรึกษาจากเจ้าหน้าที่ นอกจากนี้ ในวันที่ 29 มิถุนายน ศกนี้ ยังจัดให้มีบริการตรวจเครดิตบูโรโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย พร้อมรู้ผลทันที ซึ่งนอกจากจะเป็นการลดภาระของลูกหนี้แล้ว ยังทำให้กระบวนการปรับโครงสร้างหนี้เริ่มต้นได้เร็วขึ้นและใช้เวลาโดยรวมสั้นลง ผู้ที่สนใจติดต่อสอบถามได้ที่ Call Center 0-2610-2266 ทุกวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 08.30-17.00 น. หรือสมัครเข้าร่วมโครงการคลินิกแก้หนี้ผ่านเว็บไซต์ได้ที่ www.คลินิกแก้หนี้.com และ www.debtclinicbysam.com แอดไลน์ @debtclinicbysam
ทั้งสามเรื่องสามรส ลองดูความสอดคล้องเรียงร้อยกันให้ดีจะเห็นสภาพการณ์แบบบ้านๆในประเทศอันเป็นที่รักของเราครับ… เราคงต้องอยู่กับหนี้ไปอีกตราบนานเท่านาน… ขอบคุณครับ