เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “การเป็นสมาชิกเครดิตบูโรกับการใช้ข้อมูลเครดิตบูโร ความเข้าใจคนละเรื่องเดียวกัน” : วันที่ 20 พฤษภาคม 2562
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันที่ 20 พฤษภาคม 2562
“การเป็นสมาชิกเครดิตบูโรกับการใช้ข้อมูลเครดิตบูโร ความเข้าใจคนละเรื่องเดียวกัน”
โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/589535
เหตุที่ผมต้องลุกขึ้นมาเขียนเรื่องนี้ก็เพราะเหตุว่าในการประชุมรับฟังความเห็นเรื่องกฎระเบียบที่จะออกมากำกับดูแลการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินประเภทหนึ่งในประเทศไทยให้มีความระมัดระวัง มีมาตรฐานมากขึ้น ป้องกันความเสี่ยงในเรื่องหนี้เสีย และป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นกับผู้ฝากเงินเพราะเหตุว่าตัวเลขสินเชื่อที่สถาบันการเงินประเภทนี้ได้ปล่อยออกไปให้กับครัวเรือนไทย ภายใต้คำนิยามหนี้ครัวเรือนไทยมีจำนวนถึง 2ล้านล้านบาท สถาบันการเงินดังกล่าวคือ สหกรณ์ออมทรัพย์ครับ ด้วยความเคารพทุกท่าน สิ่งที่ผมใคร่ขอนำเรียนเป็นข้อมูลต่อไปนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผม ไม่เกี่ยวกับตำแหน่งหรือองค์กรที่ผมสังกัดนะครับ ผมมีข้อมูลมาลองชวนคิด จะเห็นด้วย เห็นต่างก็เป็นสิทธิ์ของท่านผู้อ่านนะครับ ข้อมูลมีดังนี้ครับ
1.การที่เราจะตัดสินใจให้กู้กับใครโดยเงินที่เอามาให้กู้นั้นมันไม่ใช่เงินของเรา แต่เป็นเงินที่ผู้คนทำมาหาได้ด้วยความลำบากและเขาหวังพึ่งความรู้ความสามารถเราให้ช่วยดูแล เขาได้ส่งผ่านความไว้เนื้อเชื่อใจมากับเงินฝาก เพื่อให้เรามาหาประโยชน์ผ่านบริการให้กู้ เราคนนั้นต้องมีความรับผิดรับชอบเยี่ยงผู้บริหารสถาบันการเงินโดยทั่วไปหรือไม่
2.เราในฐานะบุคคลหรือคณะบุคคลในรูปกรรมการเงินกู้ จำเป็นต้องรู้ข้อมูลหรือไม่ว่าสมาชิกที่มายื่นขอกู้ไม่ว่าเราจะรู้จักดีหรือไม่รู้จักก็ตาม เราต้องรู้ ควรจะรู้หรือไม่ว่าเขามีหนี้ทั้งหมดก่อนมาหาเราเท่าไหร่ เป็นหนี้อะไรบ้าง เป็นหนี้บ้าน บัตร รถยนต์ สินเชื่อบุคคลอย่างละเท่าไหร่ เป็นหนี้ที่ไหนบ้าง ที่สำคัญคือมีประวัติการชำระหนี้พวกนั้นเป็นอย่างไรในช่วงที่ผ่านมา ผ่อนได้ปกติ มีการค้างชำระ มีการเคยค้างชำระแต่ตอนนี้โอเคแล้ว พักหนี้ที่ไหนบ้าง ถูกดำเนินการทางกฎหมายหรือไม่ มีหนี้บางบัญชีถูกโอนขายไปหรือไม่ มีการปรับโครงสร้างหนี้บัญชีไหนบ้าง ปรับเมื่อไหร่ หลังปรับผ่อนเป็นอย่างไร
3.ข้อมูลตามข้อ 2. คือข้อมูลเครดิตครับ ภาษาชาวบ้านคือ ข้อมูลเครดิตบูโร ข้อมูลบูโรนั่นเอง ข้อมูลนี้ปัจจุบันมีสมาชิกของเครดิตบูโรที่เป็นสถาบันการเงินจำนวน 99 แห่ง ทั้งส่งเข้ามาในระบบ และใช้ข้อมูลไปเพื่อประโยชน์ในการวิเคราะห์ความน่าเชื่อถือ ความตั้งใจในการชำระหนี้ของคนที่มายื่นขอกู้ และในจำนวนนี้มีสหกรณ์ออมทรัพย์ 3 แห่งเป็นสมาชิกเครดิตบูโรครับ
4.ทีนี้การได้มาซึ่งข้อมูลเครดิตบูโรนั้นจะทำได้ 2แบบครับคือ
4.1 เข้ามาเป็นสมาชิกเครดิตบูโร ปฏิบัติตามกฎหมาย ต้องส่งข้อมูลลูกหนี้และบัญชีเงินกู้ที่ตนเองอนุมัติเข้าระบบทุกเดือน เวลาจะดูข้อมูลใคร คนๆ นั้นต้องให้ความยินยอมและมีธุรกรรมการขอสินเชื่อ จะเที่ยวไปแอบดูแอบเช็คไม่ได้ ใครไม่ทำตามกฎหมายปกป้องความเป็นส่วนตัวก็มีโทษถึงติดคุกติดตะราง วิธีนี้คือทางตรง สหกรณ์ออมทรัพย์ส่วนใหญ่ยังมีข้อกังวลสารพัด แม้ว่าทางการจะขอให้เครดิตบูโรลดเงื่อนไขไม่คิดค่าสมาชิกเป็นเวลา 3 ปีนับแต่วันที่เป็นสมาชิกก็ตาม
4.2 สหกรณ์ออมทรัพย์ที่จะพิจารณาคำขอกู้ กำหนดให้คนที่มายื่นคำขอกู้ไปตรวจเครดิตบูโรของตัวเอง ตามช่องทางที่มีอยู่ รายละเอียดดูได้ที่ www.ncb.co.th จากนั้นให้นำเอาข้อมูลรายงานเครดิตบูโรนั้นมายื่นพร้อมกับคำขอกู้ เพื่อให้กรรมการเงินกู้มีข้อมูลตามข้อ 2 ใช้ในการพิจารณาตัวคนขอกู้ว่าจะอนุมัติหรือไม่อนุมัติ
5.การเป็นสมาชิกเครดิตบูโรจะมีประโยชน์ต่อระบบการเงินครับ เพราะสถาบันการเงินอื่นเขาก็จะลดความเสี่ยงลงเพราะว่าคนที่ขอกู้ เขาก็วิ่งขอกู้ไปทั่ว ทีนี้ถ้าสหกรณ์ออมทรัพย์เป็นสมาชิกก็ส่งข้อมูลลูกหนี้เข้ามาในระบบ พอคนนี้ไปกู้ที่อื่น ที่อื่นนั้นก็จะเห็นว่าอ้าว.. คนนี้มีหนี้อีกหนึ่งที่คือสหกรณ์ออมทรัพย์ การจะให้กู้ไม่ให้กู้ก็เป็นเรื่องของเจ้านั้นว่าจะคิดอย่างไร แต่ตัวสหกรณ์ออมทรัพย์อาจจะไม่อยากแชร์ข้อมูลลูกหนี้ตัวเองก็ได้ นานาจิตตังครับ
6.มันเป็นไปได้หรือไม่ครับ ผมสมมติเหตุการณ์ว่า กรรมการเงินกู้ไม่อยากได้ข้อมูลตามข้อ 2 มาดู เพราะรู้ดีว่าลูกหนี้กู้เงินขาประจำนั้นเป็นอย่างไร อาจจะมีหนี้เยอะแต่ไม่เคยค้างเพราะหักเงินเดือนไว้แล้ว ส่วนจะพอกินพอใช้หรือไม่ ไม่เกี่ยว อาจจะมีประวัติค้างชำระ หรือเป็นคนเคยค้าง หรือมีตำหนิอย่างใดอย่างหนึ่ง การไม่มีข้อมูลพวกนี้ก็ทำให้การอนุมัติมันก็อยู่บนพื้นฐานว่า ก็ในเวลาพิจารณามันมีข้อมูลแค่นี้ เท่านี้ ดังนั้นการตัดสินใจของเราก็รอบคอบเท่าที่ข้อมูลมีอยู่
ถ้าเป็นตัวผม ผมก็กลัว กลัวคนฝากเงินครับ กลัวเขามาด่า กลัวเขาจะมาฟ้องให้เรารับผิดว่า ก็ถ้ามีข้อมูลเครดิตบูโรแล้ว เห็นลูกหนี้ที่มาขอกู้ อาการขนาดนี้แล้ว ยังอนุมัติให้กู้ เหตุเพราะหักเงินเดือนได้ก่อนแล้ว ถ้าเกิดเป็นหนี้เสีย หรือถูกฟ้องจากที่อื่นแต่ยังให้กู้อยู่ มันก็หมิ่นเหม่ใช่หรือไม่ ดังนั้นการไม่มีข้อมูลชุดนี้ในข้อมูลการพิจารณาให้กู้หรือไม่ตั้งแต่ต้น มันจะเป็นบวกกับคนพิจารณาหรือไม่ มันจะเป็นบวกกับคนฝากเงินที่เขาไว้ใจเราหรือไม่ อันนี้ข้อตั้งเป็นคำถามที่รอคำตอบนะครับ
ข้อมูลตามสื่อที่สะท้อนออกมาระบุว่าความกังวลของสหกรณ์ออมทรัพย์ที่ว่า
…. สำหรับผู้กู้จะต้องเข้าระบบตรวจสอบเครดิตบูโร ก่อนปล่อยกู้ จึงเป็นข้อกังวลด้วย โดยสหกรณ์ได้ใช้วิธีตรวจสอบดูแลกันเอง เพราะกรรมการ กับสมาชิก รู้จักกัน ใครฐานะการเงินเป็นอย่างไร เป็นหนี้ที่ไหนบ้างจึงไม่เห็นความจำเป็น ที่สมาชิกต้องมีค่าใช้จ่ายในการตรวจสอบเครดิตบูโร…
ขอเรียนอีกครั้งนะครับ ถ้าเป็นสมาชิกตามข้อ 4.1 ไม่มีการเรียกเก็บค่าสมาชิกเป็นเวลา 3ปี เสียแต่ค่าดูข้อมูล 12บาทต่อครั้ง แต่ถ้าเลือกแบบ 4.2 คนยื่นขอกู้เป็นคนเสียค่าใช้จ่าย (กฎหมายกำหนดให้เสียไม่เกิน 200บาทครับ) ตัวสหกรณ์ออมทรัพย์ไม่มีค่าใช้จ่ายนะครับ
ทิ้งท้ายครับ คำโบราณพูดไว้เสมอว่า รู้หน้า ไม่รู้ใจ หรือจิตมนุษย์นี้ไซร้ ยากแท้หยั่งถึง คำว่ารู้จักกันในนิยามเดิมแบบไทยๆ จะเอาอยู่หรือไม่กับหนี้ครัวเรือนในยุคสมัยนี้ หรือคำสมัยใหม่ มีข้อมูลยิ่งเยอะยิ่งลดความเสี่ยง
ท่านผู้อ่านลองใจนิ่งๆ ไม่คิดเราคิดเขา ไม่คิดเล็กคิดน้อย คิดอย่างเดียวถ้าเป็นเงินครอบครัวเราแล้วเราจะเอาไปให้ใครเขากู้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นญาติหรือเป็นมิตร เราควรขนขวายให้มีข้อมูลตามข้อ 2 ข้างต้นมาดูประกอบหรือไม่ มันยากลำบากมากมายหรือไม่ในการหามาดู ฝากในอ้อมอกอ้อมใจของคนที่ถูกเรียกขานว่า ผู้บริหารองค์กรครับ
WealthMeUp ค้นหาคำตอบที่อยากรู้ 1:1 ตอน “ทางออกคนเป็นหนี้”
WealthMeUp ค้นหาคำตอบที่อยากรู้ 1:1
ตอน “ทางออกคนเป็นหนี้” กับ คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
ออกอากาศวันที่ 13 พฤษภาคม 2562
สัมภาษณ์สดทางวิทยุ “คัดข่าวมาคุย” ช่วง “หัวใจเศรษฐี” ทุกวันอังคารเว้นอังคารของเดือน เวลา 11.10 – 11.30 น. (วันที่ 14 และ 28 พฤษภาคม 2562) – ทางคลื่น FM 105 Smile Thailand
สัมภาษณ์สดทางวิทยุ “คัดข่าวมาคุย” ช่วง “หัวใจเศรษฐี”
ทุกวันอังคารเว้นอังคารของเดือน เวลา 11.10 – 11.30 น. (วันที่ 14 และ 28 พฤษภาคม 2562)
– ทางคลื่น FM 105 Smile Thailand
– อออนไลน์ www.105smilethailand.com
– www.facebook.com/105smilethailand
ผู้ให้สัมภาษณ์ : คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด
ผู้ดำเนินรายการ : คุณศลิลนา ภู่เอี่ยม
ติดตามชมรายการ “พอง พอง” Wealth Me Up ตอน “ทางออกของคนเป็นหนี้”จะมีวิธีจัดการและหาทางออกอย่างไร ” วันที่ 13 พฤษภาคม 2562 เวลา 19.00 น. ได้ที่ Facebook Page : Wealth Me Up : โดยคุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
ติดตามชมรายการ “พอง พอง” Wealth Me Up ตอน “ทางออกของคนเป็นหนี้”จะมีวิธีจัดการและหาทางออกอย่างไร ” ออกอากาศวันที่ 13 พฤษภาคม 2562 เวลา 19.00 น. ได้ที่ Facebook Page : Wealth Me Up : โดยคุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “ทำธุรกิจเมื่อเจออุปสรรคก็ต้องปรับตัว แก้ไข ไม่ใช่เอาแต่ร้องให้ใครเขาแก้ไข” : วันที่ 13 พฤษภาคม 2562
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันที่ 13 พฤษภาคม 2562
“ทำธุรกิจเมื่อเจออุปสรรคก็ต้องปรับตัว แก้ไข ไม่ใช่เอาแต่ร้องให้ใครเขาแก้ไข”
โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/588899
บทความในวันนี้ต้องขอออกตัวไว้ก่อนไว้ว่าไม่ใช่การตอบโต้ หรือการตั้งป้อมต่อสู้กันแต่เป็นการชี้ให้เห็นว่าหากเราเป็นผู้บริหารที่เรียกตัวเองอย่างภาคภูมิใจว่า “มืออาชีพ” รับจ้างเถ้าแก่หรือเจ้าของเงินมาบริหารกิจการให้รุ่งเรือง เติบโต และก้าวหน้า แน่นอนว่าสภาพเศรษฐกิจ เงื่อนไขทางกฎระเบียบ พฤติกรรมของลูกค้าย่อมไม่อยู่นิ่งให้เราบริหารได้ง่ายๆ เหมือนกินข้าวต้มกับไข่เค็มตอนเช้าแน่นอน โลกของการบริหารจัดการจึงมีบทเรียนตั้งแต่ปริญญาตรี ปริญญาโทว่า “ทำธุรกิจเมื่อเจออุปสรรคก็ต้องปรับตัว แก้ไข ไม่ใช่แก้ตัว(กับเถ้าแก่ว่าทำไม่ได้ ทำได้ยาก) หรือเอาแต่ร้องให้ใครเขาแก้ไขโดยเฉพาะภาครัฐที่เขามีอำนาจหน้าที่ เขามีข้อมูล และเขาก็เปิดโอกาสให้เข้าไปดูข้อมูล เข้าไปให้ความเห็นแล้ว เมื่อเถียงไม่ชนะ หรือสู้แล้วไม่ชนะด้วยวิชาการ ก็ไม่ควรใช้วิชามารไปอิงภาคการเมืองที่กำลังจะเข้ามาใหม่ โดยเอาความมั่นคงของระบบเศรษฐกิจผ่านความสามารถในการชำระหนี้ของลูกค้ามาเป็นตัวประกัน แบบที่ตอนจบฉันยังคงมีกำไรไปแบ่งปันผลครบเหมือนเดิม
เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อทางธนาคารกลางในประเทศของเราออกมาตรการกำกับดูแลการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยในสามมิติ คือ
1. ถ้ายังผ่อนเงินกู้ที่อยู่อาศัยหลังที่หนึ่งยังไม่จบหากจะก่อหนี้หลังที่สอง หรือสามก็ต้องมีการวางดาวน์เพิ่ม กู้ในสัดส่วนกับหลักประกันน้อยลง
2. สินเชื่อที่นำมา Top up จะไม่ใช่อะไรก็ได้ เพื่อป้องกันการก่อหนี้ไม่มีหลักประกันมาแฝงกับส่วนต่างของหลักประกันของสูตรมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV)
3. ป้องกันการเก็งกำไร การกู้เงินสินเชื่อที่อยู่อาศัยแต่ไม่ได้เอาไว้อยู่ แต่เอาไปปล่อยเช่า หรือกู้เพื่อลงทุนกะเอาไว้ขายต่อฟันกำไรในอนาคต ซึ่งมันจะทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงเกินจริง
ในฝั่งของคนที่ทำบ้าน ทำคอนโด ทำที่อยู่อาศัยขาย ก็เจอกับปัญหาแน่ๆ
1. โครงการที่กำลังสร้างกำลังขายจะทำอย่างไร กติกาสำหรับคนที่กู้มาซื้อมันเปลี่ยนแบบเป็นผลลบกับการบริหารของฝั่งคนขายของ
2. โครงการที่สร้างเสร็จแล้ว กำลังขายอยู่ ตอนแรกคิดว่าจะใช้เวลาปิดขายทั้งหมด 14 เดือน เจอกติกาใหม่อาจต้องลากยาวไปเป็น 18 หรือ 24 เดือนแทน ต้นทุนที่เพิ่มจะทำอย่างไร
ทางออกสำหรับคนที่เป็นมืออาชีพตามที่ได้ร่ำเรียนมาก็คือ เร่งแก้ไขมิใช่แก้ตัว เร่งทำงานหนักขึ้น มิใช่ผ่อนงานหนักไปให้คนอื่น ไม่อย่างนั้นเขาจะเรียกว่านักผลักภาระมิใช่นักบริหารจัดการภาระ
ผมขอยกคำพูดที่มีการนำเสนอในข่าวที่ระบุว่า…. สิ่งที่รัฐบาล (ผู้เขียน: คงหมายถึงรัฐบาลใหม่ที่กำลังจะมา) น่าจะดำเนินการ คือ ควรไปดำเนินการกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในเรื่องมาตรการควบคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ (LTV) ซึ่งเป็นประเด็นใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย (ผู้เขียน: คงหมายรวมถึงกำไรจากการทำธุรกิจด้วย) ทั้งนี้ ตนเสนอว่าควรจะผ่อนปรนเรื่องมาตรการ LTV โดยให้เลื่อนไปใช้เดือนมกราคม 2563 เนื่องจากจะได้ให้เวลากลุ่มผู้ซื้อ ระดับกลาง-ล่าง มีวินัยในการเก็บเงินออม (ผู้เขียน: แล้วช่วงเวลาที่ขยายก็ทำแบบเดิมได้ใช่หรือไม่ ดาวน์น้อย กู้มากเกิน LTV. ใครจะเก็งกำไรก็ทำไป แต่ขอเพียงของฉันขายได้อย่างนั้นหรือ) ส่วนการจะบังคับช่วงไหนก็พิจารณาตามความ เหมาะสมในปีหน้า(ผู้เขียน :ประเด็นนี้ได้มีการเสนอ และเจรจาต่อรองแล้วใช่หรือไม่ สามารถหักล้างเหตุผลกับคนที่เขามีหน้าที่ออกกฎแล้วใช่หรือไม่) รวมถึงได้เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปรับลดระยะเวลาการเก็บข้อมูลลูกหนี้จากศูนย์ข้อมูลเครดิตบูโรจาก 3 ปีเป็นเหลือ 2 ปี เพื่อส่งผลดีต่อลูกหนี้ในเรื่องของการเข้าถึงธุรกรรมการเงิน ผู้เขียนขอเรียนในประเด็นเรื่องระยะเวลาเก็บข้อมูลลูกหนี้ ดังนี้
1. ระยะเวลาที่เป็นมาตรฐานต่ำสุดของสากลในกว่า 190 ประเทศ คือ 3 ปี ประเทศเราจะต่ำกว่ามาตรฐานสากลหรือ แม้แต่เอธิโอเปียยังกำหนด 5 ปี กัมพูชากำหนด 10 ปี ท่านจะรับได้ไหมถ้าธนาคารโลกประเมินเราเรื่องนี้ลดลง
2. ความเสี่ยงของคนฝากเงินเพิ่มเพราะคนกลางคือธนาคารเห็นประวัติความตั้งใจในการชำระหนี้คนยื่นขอกู้น้อยลง การไปหยิบเอาเงินของคนฝากมาให้คนกู้มีความเสี่ยงมากขึ้น ท่านยังจำวิกฤติการณ์ปี 2540 ได้หรือไม่
3. แล้วคนที่เขามีประวัติการชำระหนี้ที่ดีหล่ะครับ เขาควรได้ประโยชน์จากประวัติที่ดีในเรื่องอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ถูกลง คนที่มีวินัยเขาควรได้ประโยชน์ใช่หรือไม่
สุดท้ายครับ ผมเปรียบเทียบง่ายๆ เวลาท่านรับนักบัญชี สถาปนิก วิศวกร เข้ามาทำงานที่กิจการท่าน เขาเรียน 4 ปีอย่างน้อย ทำไมท่านไม่ดูประวัติเขาสองปีในการรับคนเข้าทำงานหล่ะครับ ทำไมท่านไม่ลดราคาลงมา ยอมรับกำไรต่อยูนิตที่ลดลง เพราะถ้าราคามันลดลง ยอดเงินกู้ก็ลดลง ยอดผ่อนก็ลดลง ลูกค้าที่มีกำลังผ่อนก็มากขึ้นหรือไม่ หรือวิธีคิดของผู้บริหารมืออาชีพคือ ได้เอา เสียไม่เอา เถียงแพ้ในเวที ก็มาออกสื่อขอนักการเมืองครับ
ผู้เขียนขอใช้พื้นที่สื่อ สนทนาธรรมกับท่านผู้บริหารมืออาชีพอีกครั้งนะครับ หากมีส่วนใดส่วนหนึ่งกระทบจิต สะเทือนใจก็ต้องขออภัยมา ณ โอกาสนี้ด้วยนะครับ
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : “การรุกคืบเข้ามาของการให้บริการแบบออนไลน์ในเรื่องการให้กู้” : วันที่ 6 พฤษภาคม 2562
เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) วันที่ 6 พฤษภาคม 2562
“การรุกคืบเข้ามาของการให้บริการแบบออนไลน์ในเรื่องการให้กู้”
โดย คุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร
คลิกอ่านได้ที่ https://www.posttoday.com/finance/money/588267
ผู้เขียนไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยเมื่อผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ไทยได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า กลยุทธ์ของธนาคารปีนี้ จะมุ่งสร้างการเติบโตและขยายฐานลูกค้าผ่านช่องทางออนไลน์และดิจิทัลมากขึ้น โดยธนาคารได้ตั้งเป้าหมายปล่อยสินเชื่อออนไลน์ (Digital Lending) รวม 30,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ลูกค้าบุคคลรายย่อย 10,000 ล้านบาท และลูกค้าผู้ประกอบการธุรกิจ SME 20,000 ล้านบาท เป็นการเติบโตอย่างก้าวกระโดดเทียบปี 2561 โดยเหตุที่ว่าธนาคารมีระบบการบริหารจัดการแบบ End to End ดีขึ้นโดยเฉพาะ การพิสูจน์และยืนยันตัวตนหรือ KYC/CDD การจัดกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย การคัดกรองลูกค้า การประเมินความเสี่ยงด้านเครดิตและด้านต่างๆ จนมีผลทำให้ธนาคารมีข้อมูลมากเพียงพอในการเข้าใจ เข้าถึง และประเมินความเสี่ยง (ประเมินโอกาสที่จะได้รับชำระหนี้จากการให้กู้ในปัจจุบันและความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตข้างหน้าได้แม่นยำ มั่นใจมากขึ้น
นายธนาคารที่เป็นผู้นำในตลาดสินเชื่อ SME และนวัตกรรมในบริการทางการเงินได้ระบุต่อไปอีกว่า
ไตรมาสแรกปี 2562 ทำสินเชื่อประเภทนี้ค่อนข้างน้อย โดยอยู่ในระดับ 5,000 ล้านบาท ลูกค้าสินเชื่อส่วนใหญ่ที่ได้รับอนุมัติยังอยู่ที่รายย่อย และผู้ประกอบการร้านค้าอิสระ ร้านค้าออนไลน์ที่เป็นลูกค้าธนาคารเป็นหลักอยู่ เนื่องจากฐานลูกค้ากลุ่มนี้มีบัญชีเงินหมุนเวียนกับธนาคาร (Having Transaction Data) มีข้อมูลจาก Platform E-Commerce ที่ลูกค้าคนขอสินเชื่อได้ไปค้าขายในระบบนั้น มันทำให้ธนาคารสามารถปล่อยสินเชื่อผ่านระบบดิจิทัลได้ง่ายมากขึ้น เราต้องไม่ลืมคือธนาคารคือกิจการที่มีข้อมูล มีการค้นหาโอกาสในการนำเงินฝากมาหาประโยชน์โดยการปล่อยสินเชื่อกับการลงทุน และด้วยการไปร่วมมือกับ Platform E-Commerce จะยิ่งเติมพลังและขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจได้อีกมากมาย ลองคิดตามผมนะครับจากข่าวที่บอกว่า ดอกเบี้ยสำหรับสินเชื่อออนไลน์ (Digital Lending) หากเป็นผู้กู้รายย่อยคิดอยู่ที่ราว 10-20% เทียบกับดอกเบี้ยสินเชื่อบุคคลทั่วไปที่คิดไม่เกิน 28% ท่านผู้อ่านลองเทียบกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากระยะยาวที่ยากจะเกิน 2-3%ในเวลานี้ นี่คือโอกาสในการหาผลตอบแทนที่ดีมากๆ
ประเด็นสำคัญที่ผู้เขียนอยากจะกล่าวย้ำในวันนี้ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันข้างหน้าในไม่ช้าก็คือ ขีดความสามารถในการพิสูจน์ว่าบุคลนี้คือคนๆนี้ ถ้าเราหรือระบบเราสามารถตอบคำถามจนเชื่อได้ว่า You are who you say you are ด้วยเทคโนโลยีที่สามารถนำสิ่งที่เรียกว่า
Something you have หรือ
Something you know หรือ
Something you are มาผสมผสานกับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ ตัวอย่างเช่นใช้สิ่งที่เราเป็นอยู่คือ เสียงของเรา ลายนิ้วมือของเรา ม่านตาของเรา หรือใบหน้าของเรา ที่รวมๆเรียกว่า ไบโอเมตทริกซ์ มาดำเนินการจนมั่นใจและมีกฎหมายรองรับว่านาย A คือนาย A โดยนาย A ไม่ต้องนำพาตัวเอง หรือนำพาตัวเป็นๆของตัวเองมายังสถานที่ของผู้ให้บริการทางการเงินอีกต่อไป (Non face – to – face) แต่ได้กระทำผ่านเครื่องมือและระบบคอมพิวเตอร์/ระบบอินเทอร์เน็ต จนมีมาตรฐานที่ยอมรับนับถือกันโดยทั่วไปและเมื่อระบบนิเวศทางดิจิทัลยิ่งมีพัฒนาการด้านความปลอดภัยมากขึ้นเราก็จะได้เห็นความทันสมัยในการบริการทางการเงินในอนาคตมากขึ้น
มีข้อมูลปรากฏในข่าวสารที่เผยแพร่โดยสื่อมวลชนระบุว่าผลสำรวจของ Visa ใน พ.ศ.2561 ระบุว่าผู้บริโภคหรือลูกค้าที่ยื่นขอใช้บริการทางการเงินยินดีที่จะใช้ ไบโอเมตทริกซ์ ของตัวเอง (Something you are) มาพิสูจน์ตัวตนก่อนการใช้บริการทางการเงินเหตุเพราะมันมีความสะดวก รวดเร็ว และเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าการใช้ Error! Hyperlink reference not valid. Somethings you know ที่นับวันจะลดบทบาทลงไปเหตุเพราะปัญหาการลืม การถูกขโมย และความยุ่งยากในการทำซ้ำๆ ในแต่ละขั้นตอนการใช้บริการ
โดยข่าวได้ระบุว่า 86 %ของผู้บริโภคที่ทำแบบสำรวจสนใจที่จะลองใช้ ไบโอเมตทริกซ์ เพื่อยืนยันตัวตนหรือทำการชำระเงิน 65 %ของผู้ทำแบบสำรวจมีความคุ้นเคยกับการใช้ไบโอเมตทริกซ์ ประกอบกับความก้าวหน้าในอุปกรณ์มือถือที่ส่งผลให้การสแกนลายนิ้วมือ การสแกนใบหน้านั้นมีความรวดเร็วยิ่งขึ้น หรือแม้แต่การใช้เสียงเพื่อพิสูจน์และยืนยันตัวตนมีความแม่นยำมากขึ้น ปัจจุบันอาจถึงเวลาแล้วที่จะนำเทคโนโลยี ไบโอเมตทริกซ์ มาใช้ในแอปพลิเคชัน ของธนาคารมากขึ้น มากขึ้น และมากยิ่งขึ้นเพื่อมอบประสบการณ์การชำระเงิน (Payment service) ที่ดียิ่งขึ้นให้แก่ลูกค้าของตน
ท่านผู้อ่านลองคิดตามผมนะครับ
1.เราไม่ต้องเอาตัวเองไปยังธนาคารเพื่อขอใช้บริการสินเชื่อแต่เราสามารถทำได้ด้วยตัวเองผ่านโทรศัพท์มือถือ
2.ไม่ต้องทำเอกสารเป็นกระดาษ ไปส่งเจ้าหน้าที่สินเชื่อแต่ส่งโดยการถ่ายภาพเอกสารส่งไปให้แทน
3.ทำการพิสูจน์และยืนยันตัวตนได้ผ่านสิ่งที่เราเป็นหรือไบโอเมตทริกซ์ในวันนี้
4.ลงนามในหนังสือให้ความยินยอมโดยไม่ต้องมีเอกสารและเซ็นสดต่อหน้าเจ้าหน้าที่ธนาคาร
Error! Hyperlink reference not valid. 15-30นาที
6. ถ้าได้รับอนุมัติ เงินที่ขอกู้ไปจะถูกส่งตรงไปยังบัญชีของผู้ขอกู้ทันที สภาพคล่องของคนที่ได้รับเงินกู้ก็จะทันการณ์
ปี 2562 ยังมีอะไรที่จะออกมาอีกมากมายและผู้เขียนก็เชื่อว่าการรุกคืบเข้ามาของการให้บริการแบบออนไลน์ในเรื่องการให้กู้จะเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณในปีนี้นะครับ เรามาลองติดตามเป้าเงินกู้ด้วยกันนะครับ