Blog Page 145

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ : แสงสว่างปลายอุโมงค์ ของคนติดกับดักหนี้สิน : วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

แสงสว่างปลายอุโมงค์ ของคนติดกับดักหนี้สิน

นสพ.โพสต์ทูเดย์ : วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ 2562

การเป็นผู้คนในสังคมไทยในช่วงเวลาที่กำลังมีการหาเสียงเลือกตั้ง ต้องบอกตรงๆ ว่าทำตัวได้ยากมากๆ เช่น เวลาพบกับผู้คนทั้งไทยและต่างชาติแล้วมีกิริยาโต้ตอบจะถูกตีความว่า ถ้ายิ้มก็หาว่า… ไม่มีจุดยืน, ไม่รู้เรื่อง ถ้าเฉยๆ ก็หาว่า… ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ถ้าหัวเราะก็หาว่า… กลบเกลื่อนความไม่รู้ ถ้าพยักหน้าก็หาว่า… รู้แต่รับคำไม่รับทำ ถ้าส่งสติ๊กเกอร์… ต้องการจบการสนทนา ถ้าส่ง 555…คืออะไรก็ได้ เอาไว้ต่อท้าย

กลับมาที่คนติดกับดักหนี้ มันเริ่มจากหลังทำงานหลังจบการศึกษา ก็ต้องมีบัตรเครดิตเอาไว้ใช้จ่าย ผมจึงเห็นตัวเลขว่าบัตรที่เปิดใหม่ส่วนใหญ่กว่า 60% เป็นคนเจนวาย วงเงินประมาณ 5 หมื่น-1 แสนบาท จากนั้นมาดูหนี้บ้านก็พบว่าคนเจนวายเป็นผู้ได้สินเชื่อบ้านที่หมายถึงคอนโดเป็นจำนวนมาก รถยนต์ก็เช่นกัน อาการเป็นหนี้เร็ว เป็นหนี้มาก หนี้ไม่ลดตามเวลา และเริ่มจ่ายไม่ได้เป็นหนี้เสีย เป็น NPL ตอนอายุไม่มากแบบว่า 30 ต้นๆ ก็ใช้หนี้คืนไม่ได้เป็นจำนวนมาก จากข้อมูลที่ผมมีพบว่าคนที่มีอายุ 31 ปี จากคนที่เป็นหนี้ในระบบเครดิตบูโรจำนวน 100 คน มีอย่างน้อย 21 คน ที่ไม่สามารถจ่ายหนี้ได้จนเป็น NPL อย่างน้อย 1 บัญชี เป็นต้น ภาพแบบนี้มันคือความเสี่ยงที่สะสมไปในอนาคตถ้าไม่มีการแก้ไข ป้องกัน เยียวยา ประคับประคองที่เหมาะสมนะครับ เพราะคนเป็นหนี้จนจ่ายไม่ได้จะไม่มีสมาธิในการทำงาน คือมันเลวร้ายไปทุกอย่าง ถ้ามีครอบครัวแล้วท้ายสุดมันจะไปลงที่เด็กที่ลูก… มันคือปัญหาสังคมที่เราไม่อยากเจอ

ธนาคารแห่งประเทศไทยจึงมี นโยบายช่วยเหลือประชาชนรายย่อยในการแก้ไขปัญหาหนี้ส่วนบุคคลที่ไม่มีหลักประกัน ซึ่งมีหนี้ค้างชำระอยู่กับธนาคารพาณิชย์หลายแห่งให้สามารถแก้ไขปัญหาหนี้สินได้อย่างเบ็ดเสร็จและมีประสิทธิภาพ ที่เรียกว่า โครงการคลินิกแก้หนี้ โดยความร่วมมือของสมาคมธนาคารไทย และสมาคมธนาคารนานาชาติ เครื่องมือของโครงการนี้คือ SAM หรือบริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท เพื่อให้ประชาชนแก้ไขปัญหาหนี้สินกับธนาคารพาณิชย์ทั้งหลายให้ได้ข้อยุติในคราวเดียว (One Time One Stop Service) และบริหารจัดการชำระหนี้ของตนเองได้อย่างเหมาะสมตามความสามารถที่แท้จริง (Control Ability to Pay) ควบคู่กับการเสริมสร้างวินัยทางการเงินที่ดี (ใช้ครบ ใช้ตรง สัญญาต้องเป็นสัญญา)

คำถามคือทำไมต้องมีรูปแบบโครงการอย่างนี้ เหตุผลก็เพราะว่าการช่วยเหลือประชาชนรายย่อยที่มีเจ้าหนี้หลายราย จะมีโอกาสปลดภาระหนี้บนเงื่อนไข
          1.มีหน่วยงานกลางระหว่างลูกหนี้ และเจ้าหนี้ เพื่อดำเนินการช่วยเหลือลูกหนี้
          2.เจ้าหนี้ทุกรายได้รับการปฏิบัติที่เท่าเทียมกัน อันนี้ทำได้ยาก แต่ภายใต้กติกาที่รัฐเข้ามาช่วยจะมีการเกรงใจในการทำงานร่วมกัน
          3.ส่งเสริมให้ลูกหนี้มีวินัยทางการเงินที่ดี โดยการให้ความรู้ทางการเงินแก่ลูกหนี้ อันนี้ในความจริงจะมาทีหลัง เพราะตัวลูกหนี้ต้องเอาตัวรอดจากหนี้ที่กดทับอยู่ก่อน
          4.ลูกหนี้สมัครใจเข้าโครงการ เพราะในสถานการณ์นั้นเขาจะกลัวตกงาน กลัวถูกฟ้อง เจ้านายรู้ เป็นคนล้มเหลว
          5.ลูกหนี้ไม่ก่อหนี้ใหม่ในช่วงเวลาที่กำหนดคือประมาณ 5 ปี
          6.อัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาผ่อนชำระเอื้อต่อการแก้ไขหนี้จะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อเป็นแรงจูงใจให้คนเป็นหนี้ผ่อนไหว

ในเวลานี้เมื่อเดินโครงการมาถึงระดับหนึ่ง พบว่ามีคนสนใจ 3-4 หมื่นคน แต่ผ่านการลงนามในสัญญาแค่หลักพันคน ประเด็นที่พบคือคนเป็นหนี้นั้นมีหนี้เสียในส่วนของนันแบงก์มากพอสมควรเป็นหลักหลายหมื่น ดังนั้นการดึงเจ้าหนี้กลุ่มนี้เข้ามาร่วม คือการปิดจุดท้าทายความสำเร็จของโครงการ เพราะความเป็นจริงของการจ่ายหนี้ทุกบัญชีมันก็มาจากรายได้ (Pay From One Income to Many Debts) ผมยกตัวอย่าง ถ้าเราจ่ายได้ที่ 1,000 บาท/เดือน/หนี้ 1 แสนบาท เจ้าหนี้ของหนี้ 1 แสนบาท ก็จะได้รับเงินเฉลี่ยคืนจากลูกหนี้ 1,000 บาท/เดือนแล้วไปแบ่งกันเอง โดย SAM เป็นตัวกลาง ขณะเดียวกันเจ้าหนี้ก็ไม่สามารถแย่งกันบี้ลูกหนี้เอาเงินคืน

ตัวอย่างในพันทิปที่สะท้อนการแก้ไขหนี้คำถาม : เคยปรับโครงสร้างหนี้ทำบัตรกดเงินสดบัตรเครดิตได้ไหม บัตรเครดิต ธนาคาร การเงิน บัตรกดเงินสด รายงานเครดิตบูโร ระบุว่า เคยปรับโครงสร้างหนี้เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนนี้ชำระได้ปกติแล้ว สถานะในเครดิตบูโรล่าสุดเป็น 10 จะยื่นทำบัตรกดเงินสดหรือบัตรเครดิตผ่านไหมครับ

ส่วนที่ปรับโครงสร้างหนี้ คือเราได้ไปกู้เงินธนาคารมาให้แม่กับน้องชาย แล้วเขา 2 คน เป็นคนส่ง แต่ใช้ชื่อเราเป็นคนกู้ ส่วนของเรามีบัตรเครดิต 1 ใบ กับสินเชื่อรถยนต์ ส่งดีมาตลอดไม่เคยเกินกำหนดหรือขาดส่ง แค่ตอนนี้อยากทำบัตรเพิ่มเฉยๆ ครับ

คำตอบ : ไม่ผ่านครับ หนี้เก่ายังไม่หมดจะก่อหนี้ใหม่ทำไม ผมสะท้อนเรื่องของโครงการแก้หนี้ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้แบบรวมหนี้หลายที่ตามแนวคิดทางการ หากแต่พฤติกรรมจริงคือคนเป็นหนี้ก็ยังต้องการก่อหนี้เพิ่มหลังก่อหนี้แทนจนเป็นปัญหา ผมอ่านกระทู้นี้แล้วแต่ไม่กล้ายิ้ม ประเดี๋ยวจะถูกหาว่ายิ้มเพราะไม่รู้เรื่อง ไม่มีจุดยืน

“คนเจนวายเป็นผู้ได้สินเชื่อบ้านที่หมายถึงคอนโดเป็นจำนวนมาก รถยนต์ก็เช่นกัน อาการเป็นหนี้เร็ว เป็นหนี้มาก หนี้ไม่ลดตามเวลา และเริ่มจ่ายไม่ได้เป็นหนี้เสีย เป็น NPL”

หยุดให้บริการตรวจเครดิตบูโร (ชั่วคราว) :: วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 เนื่องในวันมาฆบูชา : ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ

หยุดให้บริการตรวจเครดิตบูโร (ชั่วคราว)

วันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2562 เนื่องในวันมาฆบูชา

ขออภัยในความไม่สะดวกค่ะ

ข่าวเครดิตบูโร 002/2562 : เครดิตบูโรมอบสิทธิพิเศษ  ฟรี…ค่าบริการตรวจรายงาน “เครดิตสกอริ่ง”  เหลือเวลาเพียง 2 สัปดาห์สุดท้าย ถึงสิ้นเดือน ก.พ. 62  ณ ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร 3 แห่ง สอดรับนโยบายแบงก์ชาติ ร่วมสนับสนุนบริการทางการเงินสำหรับ SMEs และประชาชนทั่วไป

ข่าวเครดิตบูโร 002/2562

ข่าวประชาสัมพันธ์

เครดิตบูโรมอบสิทธิพิเศษ  ฟรี…ค่าบริการตรวจรายงาน “เครดิตสกอริ่ง”  เหลือเวลาเพียง 2 สัปดาห์สุดท้าย ถึงสิ้นเดือน ก.พ. 62  ณ ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร 3 แห่ง สอดรับนโยบายแบงก์ชาติ ร่วมสนับสนุนบริการทางการเงินสำหรับ SMEs และประชาชนทั่วไป

วันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2562 : เครดิตบูโรสอดรับนโยบายแบงก์ชาติ ร่วมสนับสนุนบริการทางการเงินสำหรับ SMEs และประชาชนทั่วไป มอบสิทธิพิเศษสำหรับบุคคลธรรมดาที่มาตรวจรายงานข้อมูลเครดิตด้วยตนเอง และมีความประสงค์จะได้รายงานเครดิต    สกอริ่ง (คะแนนเครดิต) เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการยื่นขอสินเชื่อกับสถาบันการเงิน จะไม่เสียค่าบริการในส่วนนี้ สิทธิพิเศษนี้เหลือเวลาเพียง  2 สัปดาห์สุดท้าย จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562 เท่านั้น

 นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า “เครดิตบูโรได้พัฒนาระบบการประมวลผลข้อมูลให้ทัดเทียมกับต่างประเทศ โดยจัดให้มีบริการรายงาน “เครดิตสกอริ่ง” หรือคะแนนเครดิตของลูกค้าสถาบันการเงินรายใดรายหนึ่งว่า ปัจจุบันมีเครดิตทางการเงินเป็นอย่างไรทำให้สามารถคาดการณ์การชำระคืนสินเชื่อในอนาคตได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการยื่นขอสินเชื่อ เมื่อท่านมาตรวจรายงานข้อมูลเครดิต (ค่าบริการ 100 บาท) และมีความประสงค์จะได้รายงานเครดิตสกอริ่ง เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการยื่นขอสินเชื่อ ท่านไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม ณ ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อาคาร 2 ชั้น 2, สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดงและ BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ (ภายในสถานี) สำหรับสิทธิพิเศษในครั้งนี้เหลือเวลาเพียง 2 สัปดาห์สุดท้าย จนถึงวันที่  28 กุมภาพันธ์  2562 เท่านั้น เพียงยื่นบัตรประชาชนของตนเอง และรอรับผลได้ทันที เฉพาะลูกค้าบุคคลธรรมดายื่นขอตรวจด้วยตนเองเท่านั้น (ไม่รับกรณีมอบอำนาจจากบุคคลอื่น)”

ผู้จัดการใหญ่กล่าวเพิ่มเติมว่า “ที่ผ่านมา ธนาคารแห่งประเทศไทย เห็นชอบให้เครดิตบูโรจัดทำและให้บริการเครดิตสกอริ่งครั้งแรก เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2559 ที่ผ่านมา และได้ให้บริการเครดิตสกอริ่ง ตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม 2559 การให้บริการดังกล่าวได้มีผลต่อการจัดอันดับความยากง่ายการประกอบทำธุรกิจ (Ease of Doing Business) ของธนาคารโลก (World Bank) และเป็นส่วนหนึ่งในแผนพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ระยะที่ 2 รวมทั้งจากการปฏิรูปกฎเกณฑ์กำกับดูแลสถาบันการเงินของธนาคารแห่งประเทศไทยที่มุ่งจะช่วยให้สถาบันการเงินและผู้ให้บริการทางการเงินคล่องตัวในการนำเทคโนโลยีมาใช้บริการ โดยสนับสนุนให้ SMEsและประชาชนทั่วไปสามารถใช้ข้อมูลความน่าเชื่อถือด้านเครดิตจากแหล่งอื่นๆ ประกอบการยื่นขอสินเชื่อได้ โดยเฉพาะเครดิตสกอริ่งจากเครดิตบูโร”

ทั้งนี้ ประโยชน์ของเครดิตสกอริ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ เพิ่มโอกาสให้คนที่เป็นลูกค้าได้รับบริการสินเชื่อ ที่สอดคล้องกับข้อมูลความสามารถในการชำระหนี้และพฤติกรรมการชำระหนี้ของตนมากยิ่งขึ้นกว่าเดิม มีความรู้ที่จะไม่สร้างความเสี่ยงทางการเงินให้แก่ตนเองเกินสมควร ตลอดรวมไปถึงการเพิ่มพูนความรู้เรื่องทางการเงิน การบริหารจัดการการเงินส่วนบุคคลของตนเองให้เพิ่มมากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงของระบบสถาบันการเงินและเป็นประโยชน์ต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศในฐานะที่เครดิตบูโรเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านข้อมูลของระบบสถาบันการเงิน โดยสถาบันการเงินจะมีข้อมูลและเครื่องมือการวิเคราะห์ที่เป็นมาตรฐานสากลเพื่อใช้ประกอบการวิเคราะห์สินเชื่อที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้น

สำหรับข้อมูลเครดิตที่นำมาใช้ในการจัดทำและคำนวณเครดิตสกอริ่งเป็นข้อมูลเครดิตที่เครดิตบูโรได้รับจากสถาบันการเงินสมาชิกและมีอยู่ในฐานข้อมูลของเครดิตบูโร ณ ขณะเวลาที่เจ้าของข้อมูลร้องขอหรือเปิดเผย เครดิตสกอริ่ง โดยอาจเปลี่ยนแปลงได้ในแต่ละช่วงเวลา ทั้งนี้ เครดิตสกอริ่ง เป็นเพียงปัจจัยหนึ่งในหลายปัจจัยซึ่งสถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณา วิเคราะห์สินเชื่อ หรือออกบัตรเครดิตเท่านั้น ซึ่งเป็นดุลยพินิจของสถาบันการเงินแต่ละแห่งที่จะพิจารณานำมาใช้หรือไม่ก็ได้ เครดิตบูโรไม่มีอำนาจหรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการกำหนดผลของการอนุมัติหรือปฏิเสธสินเชื่อหรือการออกบัตรเครดิตให้แก่ลูกค้าของสถาบันการเงินแต่ประการใดทั้งสิ้น และจะไม่รับผิดชอบในความเสียหายใด ๆ อันเกิดจากผลเครดิตสกอริ่งในรายงานฉบับนี้ในการขอสินเชื่อหรือบัตรเครดิตหรือการอื่นใดของเจ้าของข้อมูล

สิทธิพิเศษนี้เหลือเวลาเพียง 2 สัปดาห์สุดท้าย จนถึงวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2562  ผู้มาตรวจรายงานข้อมูลเครดิตและมีความประสงค์จะได้รายงานเครดิตสกอริ่ง (คะแนนเครดิต) เพื่อเป็นข้อมูลเพิ่มเติมในการขอสินเชื่อ ท่านไม่ต้องเสียค่าบริการเพิ่ม ณ ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร 3 แห่ง  ได้แก่ 1) ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) อาคาร 2 ชั้น 2 ทุกวันจันทร์ -ศุกร์ 9.00-16.30 น. 2) สถานีรถไฟฟ้า BTS ศาลาแดง (ภายในสถานี) ทุกวันจันทร์-ศุกร์ 9.00-18.00 น.และ 3) สถานีรถไฟฟ้า BTS อนุสาวรีย์ชัยฯ (ภายในสถานี) ทุกวันจันทร์-อาทิตย์ 9.00-18.00 น. เพียงยื่นบัตรประชาชนของตนเอง และรอรับผลได้ทันที เฉพาะลูกค้าบุคคลธรรมดายื่นขอตรวจด้วยตนเองเท่านั้น (ไม่รับกรณีมอบอำนาจจากบุคคลอื่น)”

ข้อมูลเพิ่มเติมเรื่อง “เครดิตสกอริ่ง” ได้ที่ www.ncb.co.th เมนู ตรวจสอบเครดิตบูโรหรือ www.facebook.com/ilovebureau

 

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ

บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)ฝ่ายธุรกิจสัมพันธ์และภาพลักษณ์องค์กร 02 095 5867

E-mail: ilovebureau@ncb.co.th / website: www.ncb.co.th / facebook: www.facebook.com/ilovebureau

โปรโมชั่นเดือนกุมภาพันธ์ 2562..ตรวจเครดิตบูโรเป็นคู่ มา 2…จ่าย 1 : วันที 14-15 ก.พ. 62 ณ ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร 6 แห่ง

โปรโมชั่นประจำเดือนกุมภาพันธ์ 2562

“เครดิตดี มาแพคคู่ มา2 จ่าย1”

จะคู่ไหน… คู่หู คู่ฮา คู่รัก คู่กัด ก็อยากให้มา

เมื่อมาตรวจเครดิตบูโรเป็นคู่ มา 2…จ่าย 1

วันที 14-15 กุมภาพันธ์ 2562 ณ ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร 6 แห่ง

(เฉพาะรายการลูกค้าบุคคลธรรมดา ยื่นตรวจของตนเองเท่านั้น ไม่รับกรณีมอบอำนาจ)

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ : สิ่งที่ต้องคิดต่อจากการสื่อสารของธนาคารกลาง : วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

สิ่งที่ต้องคิดต่อจากการสื่อสารของธนาคารกลาง

นสพ.โพสต์ทูเดย์  วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562

โดยส่วนตัวผมชอบอ่านบทความของ ผู้คนที่อยู่ในองค์กรกำหนดนโยบายและโดยเฉพาะการแถลงข่าวของ คณะ กรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพราะชอบแกะข้อคิดจากภาษาไทยที่แถลง ซึ่งภาษาไทยนี้มันดิ้นได้ จะซ้ายจะขวา จะหนักจะเบาบางทีมันต้องคิดต่อหรือคิดเองแบบต้องใช้จินตนาการพอสมควร

ถ้อยแถลงจากการประชุม กนง. เมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2562 ที่ผ่านมา ซึ่ง มีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.75% นั้นข้อความที่ผมอ่านแล้วสะดุดใจคือ ตรงที่มีการระบุว่าเศรษฐกิจไทยมีความเสี่ยงในเรื่องศักยภาพระบบการเงินที่เปราะบาง โดยเฉพาะในส่วนของหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากไตรมาส 2 ของปี 2561 อยู่ที่ 77.7% ไตรมาส 3 ของปี 2561 ที่อยู่ที่ 77.8% และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในไตรมาส 4 ปี 2561 อีกด้วย

“หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นมาจาก สินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อบ้าน และอื่นๆ ทำให้ตัวเลขสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์หลายตัวเริ่มปรับตัวสูงขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ ธนาคารแห่งประเทศไทยมีมาตรการและนโยบายในการบริหารจัดการอยู่แล้ว แต่หากเพิ่มขึ้นมากเกินก็จะเข้าไปดูแลในส่วนนี้ โดยจะต้องไปดูไส้ในว่า หนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นมาจากอะไร เพิ่มขึ้นเพราะเหตุใด เพื่อแก้ปัญหาเหล่านี้ต่อไป”

ถ้าท่านผู้อ่านจำได้  มีการออก มาตรการมาอย่างต่อเนื่องคือปลายปี 2560 ออกมาตรการกำกับดูแลสินเชื่อ บัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคล แบบเข้มข้นก็ว่าได้ ปลายปี 2561 ออกมาตรการ สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย  ซึ่งจะมีผลจริง ตั้งแต่ 1 เม.ย. 2562 ต้นปี 2562 ออกหมัดใส่สินเชื่อจำนำทะเบียนพวก  Car for cash อันนี้ได้เสียงเชียร์จากชาวบ้านชาวช่องคลินิกแก้หนี้ ตัวเลขช่วยคนเป็นหนี้ที่ชำระไม่ได้จะดีหรือไม่

ที่น่าสนใจคือการออกมาพูดถึงมาตรฐานการคำนวณรายได้ของผู้ยื่น ขอสินเชื่อ เพื่อให้ไปถึงมาตรฐานอัตราส่วนความสามารถในการชำระหนี้หรือ Debt Service Ratio อย่างในหลายประเทศ

แต่ผมสะดุดใจมากตรงที่พูดถึง ไอ้เจ้าสินเชื่อรถยนต์ ซึ่งเติบโตดี หลังหมดโครงการรถคันแรกซึ่งยังไม่มีมาตรการอะไรออกมาสำหรับสินเชื่อนี้ในเวลานี้ อันนี้ต้องเอาไปคิดต่อว่า ท่านกำลังคิดจะทำอะไรหรือไม่ทำอะไรสำหรับสินเชื่อประเภทนี้

ฟากฝั่งธนาคารพาณิชย์ก็มีบางแห่งปรับขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากและดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นแล้ว คนเป็นลูกหนี้ต้องแบกรับดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นหรือยอดผ่อนต่องวดเพิ่มอย่างแน่นอน

และจากบทความของ คุณสุพริศร์ สุวรรณิก เศรษฐกรอาวุโสฝ่ายเศรษฐกิจมหภาค ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นคนหนุ่มหัวก้าวหน้าที่ “เก่งและดี” ในมุมมองของนักเศรษฐศาสตร์หนุ่มคนนี้ คำตอบคือปัจจุบันระบบการเงินไทย โดยรวมมีเสถียรภาพอยู่ในเกณฑ์ดี ระบบสถาบันการเงินมีความมั่นคง และมีเกราะป้องกันแรงกระทบจากภายนอกคือ เสถียรภาพด้านต่างประเทศที่เข้มแข็ง สะท้อนจากภาระหนี้ต่างประเทศที่อยู่ในระดับต่ำ เงินสำรองระหว่างประเทศที่อยู่ในระดับสูง และดุลบัญชีเดินสะพัดที่เกินดุลต่อเนื่อง ทำให้สามารถรองรับความผันผวนของเศรษฐกิจการเงินโลกได้ดี

อย่างไรก็ตาม ยังมีความเสี่ยงบางจุด (Pocket of Risks) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ อัตราดอกเบี้ยอยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานานในช่วงที่ผ่านมา อาทิ

(1) ฐานะทางการเงินของภาคครัวเรือนที่ยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและมีแนวโน้มสูงขึ้นเร็วกว่ารายได้ สะท้อนจากสัดส่วนหนี้ต่อจีดีพีที่เริ่มเพิ่มขึ้นในไตรมาส 3 ปี 2561 หลังจากที่ลดลงต่อเนื่องจาก จุดสูงสุดในไตรมาส 4 ปี 2558

(2) ภาคอสังหาริมทรัพย์ที่สถาบันการเงินแข่งขันกันปล่อยสินเชื่อเพื่อ ที่อยู่อาศัย โดยยอมรับความเสี่ยงที่ สูงขึ้น ส่งผลให้มาตรฐานการปล่อย สินเชื่อ (Credit Standard) ลดลง หากเกิดปัจจัยลบทางเศรษฐกิจ (Economic Shock) อาจทำให้ผู้ที่กู้เงินจนเกินตัวหรือ อยู่ปริ่มน้ำไม่สามารถชำระหนี้ได้ และลุกลามไปสู่ฐานะทางการเงินของครัวเรือนข้างต้น นอกจากนี้ ยังเอื้อต่อการเก็งกำไรในอสังหาริมทรัพย์ และสร้างอุปสงค์เทียม ทำให้ราคาที่อยู่อาศัยสูงขึ้นกว่าความเป็นจริง และทำให้ผู้ต้องการที่อยู่อาศัยจริงต้องรับภาระในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ราคาสูงเกินจริง

(3) พฤติกรรมการแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น (Search for Yield)อาจนำมาสู่การประเมินความเสี่ยงต่ำกว่าความเป็นจริง (Underpricing of Risks) ภายใต้ภาวะอัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำเป็นเวลานาน ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เห็นได้ในทุกภาคส่วน ตั้งแต่ครัวเรือนที่บางส่วนกู้ยืมเกินตัว สหกรณ์ออมทรัพย์ที่กู้เพื่อไปลงทุนในหลักทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง หรือกลุ่มธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีการระดมทุนในตลาดตราสารหนี้และจากธนาคารพาณิชย์ เพื่อขยายการลงทุนไปยังธุรกิจอื่นๆ นอกจากธุรกิจหลักดั้งเดิม

มาตรการต่างๆ ที่ออกมาของ ธนาคารกลางคงมุ่งหมายที่จะจัดการประเด็นต่างๆ ดังกล่าวข้างต้น เพราะการสะสมปัญหา หรือสิ่งที่คิดว่าจะเป็นปัญหานั้นมันมีความเชื่อมโยงกันไปหมด  ไม่สามารถแยกเป็นส่วนๆ ได้อีกต่อไปแล้ว

ส่วนที่ผมอ่านแล้วชอบที่สุดของบทความนี้คือ เสถียรภาพระบบการเงิน ไทยในระยะต่อไป ระบบการเงินไทยมีโอกาสได้รับผลกระทบสูง จึงจำเป็นต้องเฝ้าระวังในการจับสัญญาณความเสี่ยงต่างๆ ให้เร็วและทันการณ์ และเตรียมพร้อมรับมือ โดยใช้มาตรการดูแลในเชิงป้องกันควบคู่กับการใช้อัตราดอกเบี้ยนโยบายที่มีประสิทธิผลในวงกว้างในเวลาที่เหมาะสม เพราะหากไม่ได้มองภาพเศรษฐกิจและเสถียรภาพระบบการเงินเป็นองค์รวม เปรียบเสมือนมองไม่เห็นทั้งป่า และไม่รู้ว่าเริ่มมีควันไฟอยู่ในบางจุดที่อาจลามไปทั่วป่าได้แล้ว ความเสียหายอาจเกิดตามมาได้เกินประมาณ

คำถามสุดท้ายของผมต่อผู้เขียนบทความคือ  ต้นทุนนโยบาย จากสภาพคล่องที่สถาบันการเงินเหลือแล้วมัน วิ่งเข้ามาให้ธนาคารกลางรับตอนปิดposition จาก 1.50 เป็น 1.75 ไอ้ ส่วนต่าง 0.25 ที่ต้องจ่ายเพิ่มทุกวัน จะทำอย่างไร ใครคือผู้รับภาระครับ ขอชื่นชมอีกครั้งนะครับ

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! : งาน “มหกรรมบ้านดี” จ.ระยอง วันที่ 9-10 กุมภาพันธ์ 2562 ชั้น 1 ลานกิจกรรม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา จ.ระยอง

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! : งาน “มหกรรมบ้านดี” จ.ระยอง

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 11.00 – 19.00 น.

วันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2562 เวลา 10.00 – 18.00 น.

ชั้น 1 ลานกิจกรรม ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา จ.ระยอง 

ฟรี!!…บริการตรวจเครดิตบูโร แต่ขอรับเป็นเงินบริจาคแทน พร้อมเปิดคลินิกเครดิตบูโรให้คำปรึกษา

มารู้จักบัญชีธนาคารแต่ละประเภทกัน

Come-to-know-each-bank-account-type

หลายคนคงคุ้นเคยกับการฝากเงินในบัญชีธนาคารดี แต่ก็คงสงสัยกันว่าทำไมมันมีบัญชีเงินฝากหลากหลายประเภทจัง มันต่างกันอย่างไร วันนี้เราจะพามารู้จักกับบัญชีธนาคารประเภทต่างๆ กันค่ะ

บัญชีเงินฝากออมทรัพย์ (Savings Account)
เริ่มกันที่บัญชีที่หลายคนคุ้นเคยกันดีอย่างบัญชีเงินฝากประเภทออมทรัพย์ บัญชีประเภทนี้เหมาะสำหรับการออมเงินในระยะสั้น หรือการเก็บเงินเผื่อไว้ยามใช้ฉุกเฉิน ถอนเงินเพื่อเป็นค่าใช้จ่าย เช่น ค่าใช้จ่ายรายเดือน การเก็บเงินไว้สำหรับการใช้จ่ายประจำวัน บัญชีประเภทนี้มักกำหนดเงินฝากขั้นต่ำไว้ไม่สูงและอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างต่ำ

การเปิดบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ส่วนใหญ่ธนาคารจะให้สมัครบัตร ATM หรือบัตรเดบิต เพื่อสะดวกในการทำธุรกรรมด้วยตัวเองผ่านตู้ ATM แต่จะมีค่าธรรมเนียมในการใช้บัตรในแต่ละปีด้วย ที่สำคัญบางธนาคารมีการเสนอขายบัตรที่ผูกกับประกันอุบัติเหตุที่จะมีค่าธรรมเนียมรายปีสูงกว่าปกติ ต้องศึกษาเงื่อนขและรายละเอียดให้ดีก่อนตัดสินใจ

บัญชีเงินฝากประจำ (Fixed Deposit Account)
บัญชีต่อมาที่หลายคนคงคุ้นหูเช่นกัน คือ บัญชีเงินฝากประจำ เป็นบัญชีที่มีกำหนดระยะเวลาการฝากถอนที่แน่นอน เช่น 1 ปี 5 ปี และมีการจูงใจด้วยอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าการฝากแบบออมทรัพย์ธรรมดา เหมาะสำหรับช่วงเวลาที่เศรษฐกิจผันผวน จะได้มีบัญชีธนาคารที่มั่นคงสำหรับการออมเงิน บัญชีนี้เหมาะใช้สำหรับเก็บเงินเตรียมเกษียณ ผู้ที่มีเงินแต่ยังไม่ต้องการใช้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง (เงินเย็น) หรือต้องการออมเงินระยะยาวและหวังผลตอบแทนในรูปแบบอัตราดอกเบี้ยที่สูงกว่าบัญชีเงินฝากออมทรัพย์

สำหรับเงินฝากประจำนั้นจะมีเงื่อนไขในการฝากเงินที่ไม่เหมือนบัญชีเงินฝากออมทรัพย์ เช่น หากถอนก่อนครบกำหนดก็อาจได้รับดอกเบี้ยน้อยกว่าอัตราที่สถาบันการเงินประกาศไว้ หรือธนาคารบางแห่งจะกำหนดให้ผู้ฝากเงินในบัญชีเงินฝากประจำเปิดบัญชีออมทรัพย์ด้วย เพื่อที่ธนาคารจะโอนดอกเบี้ยเข้าไปในบัญชีออมทรัพย์อัตโนมัติเมื่อครบกำหนดการจ่ายดอกเบี้ย หรืออาจโอนเงินต้นเข้าไปด้วยเมื่อครบกำหนดระยะเวลา

บัญชีเงินฝากประจำรายเดือนแบบปลอดภาษี
หลายคนคงเคยได้ยินธนาคารต่างๆ โปรโมตผลิตภัณฑ์บัญชีเงินฝากประจำปลอดภาษีที่ให้ดอกเบี้ยค่อนข้างสูง เป็นบัญชีเงินฝากประจำที่ได้รับการยกเว้นภาษี แต่ต้องฝากเงินทุกๆ เดือนเป็นจำนวนเท่ากันตลอดอายุสัญญา ซึ่งระยะเวลาอาจกำหนดไว้แตกต่างกันในแต่ละธนาคาร เช่น 24 เดือน 36 เดือนและมักกำหนดจำนวนเงินฝากขั้นต่ำไว้ไม่ต่ำกว่า 500 – 1,000 บาท ดังนั้น คนที่อยากเปิดบัญชีเงินฝากประเภทนี้ควรมีรายได้ประจำ และสามารถนำเงินเข้าบัญชีได้อย่างสม่ำเสมอ แต่ละคนมีสิทธิเปิดบัญชีเงินฝากประเภทนี้ได้เพียงคนละ 1 บัญชีเท่านั้น ถ้าขาดฝากเกินกว่าจำนวนครั้งที่กำหนดซึ่งส่วนใหญ่จะกำหนดไว้ไม่เกิน 2 ครั้ง ก็จะไม่ได้รับดอกเบี้ยตามที่ธนาคารประกาศ

บัญชีเงินฝากกระแสรายวัน หรือบัญชีเงินฝากเดินสะพัด (Current Account)
บัญชีประเภททต่อมาเป็นบัญชีที่มีไว้สำหรับการทำธุรกรรมทางการเงินโดยเฉพาะ ถือว่าเป็นตัวช่วยในการบริหารจัดการเงินของบริษัทหรือร้านค้า เพราะสามารถใช้เช็คในการเบิกจ่ายเงินได้ บัญชีเงินฝากกระแสรายวันจะไม่มีดอกเบี้ยนะคะ

บัญชีประเภทนี้สามารถขอใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (overdraft) หรือที่เรียกว่าเงิน O/D ได้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องในกรณีเงินขาดบัญชีและช่วยลดปัญหาเช็คเด้งได้ โดยต้องเสียดอกเบี้ยเฉพาะเงินส่วนที่เบิกเกินบัญชีตามระยะเวลาที่เบิกเกินบัญชี บัญชีประเภทนี้ไม่มีสมุดคู่ฝาก แต่สถาบันการเงินจะจัดส่งสเตทเมนท์ (statement) ทางไปรษณีย์หรือทางอิเล็กทรอนิกส์เพื่อแจ้งยอดเคลื่อนไหวของบัญชีให้ลูกค้าทราบ

ก่อนเลือกเปิดบัญชีกระแสรายวันควรพิจารณารายละเอียดปลีกย่อยและข้อกำหนดต่างๆ อย่างละเอียด เช่น จำนวนเงินฝากขั้นต่ำ เงื่อนไขการใช้วงเงิน O/D หรือบางแห่งสามารถใช้ร่วมกับบัตรเอทีเอ็ม บัตรเครดิตได้ด้วย ซึ่งอาจเป็นทางเลือกในการเพิ่มสภาพคล่องในการบริหารจัดการเงิน

บัญชีเงินตราระหว่างประเทศ
บัญชีสุดท้ายที่จะแนะนำให้รู้จักคือ บัญชีเงินตราระหว่างประเทศ คือบัญชีเงินฝากธนาคารที่เงินในบัญชีเป็นสกุลเงินตราต่างประเทศ โดยบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลในประเทศไทยสามารถเปิดบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศกับธนาคารรับอนุญาตในประเทศไทยได้ เป็นบัญชีเงินฝากที่เหมาะกับผู้ที่มีรายรับหรือมีภาระค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินตราต่างประเทศ คนที่ต้องย้ายถิ่นฐานไปอยู่ต่างประเทศ หรือมีความจำเป็นต้องใช้เงินสลับไปมาระหว่างหลายสกุลเงิน

การฝาก กรณีเป็นเงินที่มีแหล่งที่มาจากต่างประเทศ (เช่น รายได้ ค่าบริการ เงินลงทุนที่ได้รับมาจากต่างประเทศ) สามารถฝากได้ไม่จำกัดจำนวน และไม่ต้องแสดงภาระผูกพันในต่างประเทศ ส่วนกรณีฝากธนบัตรเงินตราต่างประเทศ สามารถฝากได้ไม่เกินวันละ 10,000 ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาหรือเทียบเท่า

การถอน สามารถทำการถอนได้โดยมีวัตถุประสงค์ดังนี้

  1. เพื่อชำระภาระผูกพันของตนเอง หรือของธุรกิจในเครือให้แก่บุคคลในต่างประเทศ
  2. เพื่อชำระหนี้เงินตราต่างประเทศของตนเอง หรือของธุรกิจในเครือให้แก่ธนาคารรับอนุญาต
  3. เพื่อฝากเข้าบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศบัญชีอื่นของตนเอง ซึ่งจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขการฝากเงินตราต่างประเทศตามที่กล่าวข้างต้นด้วย
  4. เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินตราต่างประเทศสกุลอื่นก่อนฝากเข้าบัญชีสกุลอื่นของตนเอง หรือแลกเปลี่ยนแล้วนำเงินตราต่างประเทศดังกล่าวไปชำระภาระให้แก่บุคคลในต่างประเทศ หรือชำระหนี้ให้แก่ธนาคารรับอนุญาตทันที
  5. เพื่อแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาท
  6. นิติบุคคลสามารถถอนเงินจากบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศประเภทแหล่งต่างประเทศ (ที่มีแหล่งเงินได้มาจากค่าสินค้าและบริการจากต่างประเทศ) ของตนเอง เข้าบัญชีเงินฝากเงินตราต่างประเทศของคู่ค้าในประเทศเพื่อชำระค่าสินค้าบริการได้

ทั้งหมดนี้เป็นบัญชีเงินฝากพื้นฐานที่หลายคนควรรู้จักกัน เมื่อรู้เช่นนี้แล้วหลายคนคงเลือกผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสมกับการใช้เงินของตัวเองแล้ว อย่างไรก็ตามแต่ละธนาคารก็มีรายละเอียดปลีกย่อยในการเปิดบัญชีต่างๆ ที่ไม่เหมือนกัน ดังนั้นก่อนที่จะเปิดบัญชีกับธนาคารควรต้องศึกษารายละเอียดและเงื่อนไขอย่างละเอียดเสียก่อนแล้วค่อยตัดสินใจเลือกค่ะ

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ศูนย์คุ้มครองผู้รับบริการทางการเงิน (ศคง.) 1213 https://www.1213.or.th/th/serviceunderbot/FX/Pages/acccurrency.aspx

LTF และ RMF ต่างกันอย่างไร รู้ไว้ก่อนออมเงิน

What-is-the-difference-between-LTF-and-RMF

อย่างที่ทราบกันดีว่าการออมเงินและการลงทุนมีหลายแบบ หนึ่งในนั้นคือการซื้อกองทุน ซึ่งมนุษย์เงินเดือนหลายคนนิยมกัน เพราะเป็นการลงทุนที่ไม่ต้องมีทุนมากนัก และเป็นเหมือนการออมเงินระยะยาว ซึ่งเมื่อถึงเวลาผู้ลงทุนก็ยังได้เงินเป็นก้อนมาเก็บไว้ แต่ทั้งนี้ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกกองทุน ก็ต้องรู้จักและเข้าใจความแตกต่างระหว่างกองทุน LTF และ RMF ก่อน ว่ามีความแตกต่างกันอย่างไร ไปดูกันเลยค่ะ  

เรามาทำความรู้จักกับกองทุนทั้ง 2 แบบอย่างกว้างๆ กันก่อน เริ่มจากกองทุน LTF มีกองทุนรวมเพียงประเภทเดียว คือ กองทุนรวมตราสารทุน ส่วนกองทุน RMF นั้น มีกองทุนรวมหลายประเภทให้เลือก เช่น กองทุนรวมตราสารหนี้ กองทุนรวมตราสารทุน กองทุนรวมตลาดเงิน กองทุนรวมทองคำ กองทุนรวมน้ำมัน กองทุนรวมผสม กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ กองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน กองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ กองทุนรวมหมวดอุตสาหกรรม เป็นต้น

วัตถุประสงค์และเป้าหมายการลงทุน

กองทุน LTF กองทุน RMF
วัตถุประสงค์เพื่อสร้างเสถียรภาพของตลาดหุ้น ด้วยการส่งเสริมให้ผู้ลงทุนรายย่อยลงทุนในตลาดหุ้นผ่านกองทุนรวม โดยมีระยะเวลาในการลงทุนในระยะเวลาหนึ่ง เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลงทุนในหุ้นระยะยาว แต่อาจไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น หรือไม่มีเวลา และต้องยอมรับความเสี่ยงและเงื่อนไขของการลงทุนได้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการออมเงินในระยะยาวสำหรับชีวิตหลังเกษียณ เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการออมเงินเพื่อวัยเกษียณ โดยเฉพาะคนที่ไม่มีสวัสดิการออมเงินเพื่อวัยเกษียณมารองรับ หรือมีสวัสดิการแต่มีความต้องการออมเพิ่ม


นโยบายและเงื่อนไขการลงทุน

กองทุน LTF กองทุน RMF
ลงทุนในหุ้นสามัญของบริษัท จดทะเบียนไม่น้อยกว่า 65% ของ NAV เมื่อลงทุนแล้วต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 7 ปีปฏิทิน ถึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีครบถ้วน คือ ไม่ต้องเสียภาษีกำไรจากการลงทุน (ถ้ามี) และไม่ต้องคืนสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ได้รับมาจากเงินลงทุนที่ขายคืนนั้น มีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละกองทุน ผู้ซื้อกองทุนต้องซื้อหน่วยลงทุนในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้ในแต่ละปี แต่ต้องไม่เกิน 15% ของเงินได้ในแต่ละปี จะต้องมีปีในการลงทุนไม่น้อยกว่า 5 ปี และต้องถือไว้จนกระทั่งอายุ 55 ปีบริบูรณ์ ถึงจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีครบถ้วน


เงินลงทุนขั้นต่ำสุดและสูงสุด

กองทุน LTF กองทุน RMF
ไม่มีการกำหนดเงินลงทุนขั้นต่ำ แต่สามารถลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีแต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี ลงทุนขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 3% ของเงินได้ หรือไม่น้อยกว่า 5,000 บาทต่อปีอย่างใดอย่างหนึ่ง แล้วแต่ว่าจำนวนเงินใดจะต่ำกว่า และสามารถลงทุนสูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีในแต่ละปีและเมื่อรวมเข้ากับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพหรือ กบข. ประกันชีวิตแบบบำนาญ และกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชนแล้ว ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี


สิทธิประโยชน์ทางภาษี

กองทุน LTF กองทุน RMF
·         เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง สูงสุดไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีแต่ต้องไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี

·         กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ได้รับการยกเว้นภาษี

·         เงินค่าซื้อหน่วยลงทุนสามารถนำมาหักลดหย่อนภาษีได้ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษีต่อปี และต้องไม่เกิน 500,000 บาท เมื่อรวมกับกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กบข. ประกันชีวิตแบบบำนาญ และกองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน

·         กำไรจากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ได้รับการยกเว้นภาษี


กำหนดการขายคืนหน่วยลงทุน

กองทุน LTF กองทุน RMF
ไม่เกินปีละ 2 ครั้งตามที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน ทุกวันทำการ หรือตามที่กำหนดไว้ในหนังสือชี้ชวน


ความต่อเนื่องในการลงทุน

กองทุน LTF กองทุน RMF
ไม่จำเป็นต้องลงทุนต่อเนื่อง โดยจะนับเงินที่ลงทุนแยกกันไปในแต่ละปี ต้องลงทุนต่อเนื่องตามเงื่อนไข โดยนับเวลาแบบวันชนวัน เริ่มจากวันแรกที่ได้ลงทุนซื้อหน่วยลงทุน


เมื่อเราทราบถึงข้อแตกต่างระหว่างกองทุนทั้ง 2 แบบแล้ว เราจึงต้องวางแผนทางการเงินให้ดี อย่ามุ่งหวังในเรื่องของเงินมากจนเกินไป เพราะเงื่อนไขและสิทธิประโยชน์ปลีกย่อยของกองทุนแต่ละที่ก็ไม่เหมืออนกัน จึงต้องทำการศึกษารายละเอียดการลงทุนให้มั่นใจเสียก่อนว่าเหมาะสมกับสภาพคล่องทางการเงินของเราเป็นสำคัญ และอย่าลืมเป้าหมายหลักๆ ที่จะตั้งใจลงทุนเพื่อชีวิตหลังเกษียณ และถึงแม้ว่าแต่ละกองทุนจะมีสิทธิประโยชน์ในการลดหย่อนภาษี แต่อย่ายึดเป็นเหตุผลหลักที่จะตัดสินใจเลือกที่จะลงทุนในกองทุนนั้น

ขอขอบคุณข้อมูลจาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย https://www.set.or.th/education/th/begin/mutualfund_content11.pdf

4 เรื่องเงินที่ต้องเคลียร์ก่อนเข้าพิธีวิวาห์

4-Money-matters-before-weddings

เมื่อตัดสินใจแต่งงานนั่นหมายความว่าคุณเลือกที่จะใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งที่เหลือกับคู่ชีวิตของคุณ แน่นอนว่าคนสองคนที่เติบโตมาในสังคมที่แตกต่างจะต้องมีการปรับตัว ปรับใจ ปรับนิสัยเพื่อให้อยู่ร่วมชีวิตด้วยกันได้อย่างยาวนาน แต่เรื่องหนึ่งที่ต้องให้ความสำคัญก่อนที่จะตกลงใช้ชีวิตร่วมกันนั่นคือเรื่องของ “เงิน” นั่นเอง เมื่อจะสร้างครอบครัวด้วยกัน คงไม่ใช่แค่กระเป๋าเธอ กระเป๋าฉันแยกกันชัดเจนเหมือนตอนเป็นแฟน ยิ่งถ้าครอบครัวไหนวางแผนที่จะมีลูกด้วยกันแล้ว การจัดการเรื่องเงินยิ่งต้องพูดคุยให้ชัดเจนยิ่งขึ้นไปอีกค่ะ แล้วเรื่องเงินเรื่องไหนที่ต้องคุยต้องเคลียร์กันก่อนแต่งงาน เรามาดูกันเลย

1. รายรับ รายจ่าย ค่าใช้จ่ายในบ้าน คุยกันให้เคลียร์
ก่อนอื่นเลยทั้งสองคนต้องมาแชร์รายรับ รายจ่ายของตัวเองให้สามีหรือภรรยาทราบกันก่อนว่าแต่ละคนมีรายรับเท่าไหร่ มีค่าใช้จ่ายส่วนตัวอะไรบ้าง คิดเป็นเงินเท่าไหร่ และเมื่อมาสร้างครอบครัวแล้วจะมีเงินกองกลางกี่เปอร์เซ็นต์ของรายรับ ค่าใช้จ่ายในบ้านแบ่งกันอย่างไร ใครจ่ายส่วนไหนบ้าง คุยกันให้เคลียร์ก่อนตั้งแต่แรกเลยค่ะ จะได้ไม่มีปัญหาตามมาภายหลัง

2. หนี้สินมีหรือเปล่า เคลียร์หรือยัง
ลำดับถัดมาก็ต้องมาดูเรื่องของหนี้สิน มาแชร์กันอย่างตรงไปตรงมาว่าใครมีหนี้อะไรบ้าง เช่น ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ หนี้บัตรเครดิต หนี้กู้ยืมต่างๆ จำนวเงินที่เป็นหนี้ รายจ่ายหนี้ต่องวด กี่งวด เหลือเวลากี่ปี ฯลฯ เพื่อที่ทั้งคู่จะได้วางแผนการเก็บเงิน การใช้ชีวิตคู่ กันอย่างสะดวก เช่น หากรู้ว่ามีหนี้ก็จะเคลียร์หนี้ก่อนค่อยแต่งงาน หรือเคลียร์กันว่าจะจัดการหนี้สินอย่างไร เป็นต้น เมื่อทั้งคู่สามารถจัดการหนี้สินได้อย่างลงตัว ก็สามารถจัดการเรื่องเงินอื่นๆ ได้ง่ายขึ้นค่ะ

3. เงินออม เงินลงทุน จะตุนเงินอย่างไร
เมื่อเราเคลียร์เรื่องรายรับ รายจ่าย หนี้สิน ค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว ก็มาถึงเรื่องการลงทุน เงินออมแล้วค่ะ ยิ่งครอบครัวไหนมีแผนที่จะมีบุตรด้วยแล้ว การวางแผนทางการเงินเพื่อบุตรเป็นเรื่องสำคัญมาก ดังนั้นต้องคุยกันค่ะว่าหลังจากที่หักลบกลบหนี้ หักค่าใช้จ่ายต่างๆ แล้ว เราจะเหลือเงินออมกันคนละเท่าไหร่ แล้วจะออมอย่างไรบ้าง เช่น ฝากเงินเข้าบัญชี และจะเอาเงินไปลงทุนอะไรบ้าง รวมไปถึงการทำประกันชีวิต ประกันภัย ตกลงกันก่อนเลยค่ะว่าจะทำหรือไม่ เพื่อที่จะได้คำนวณได้ค่ะว่าเราจะมีเงินเก็บเท่าไหร่ มีเป้าหมายในการออมว่าจะใช้ระยะเวลากี่ปี ที่สำคัญเราจะได้รู้ค่ะว่าควรจะมีลูกเมื่อไหร่ดี รวมถึงวางแผนหลังเกษียณกันด้วยนะคะ

4. ทรัพย์สินของใคร เคลียร์ให้จบก่อนจดทะเบียน
ก่อนแต่งงานแต่ละคนก็จะมีทรัพย์สินส่วนตัวกันมาก่อนแล้ว แต่เมื่อถึงคราวที่ต้องจดทะเบียนสมรสกัน ก็ต้องแบ่งกันให้ชัดเจนว่าอันไหนเป็นสินส่วนตัวที่มีมาแต่เดิมแล้ว ส่วนทรัพย์สินใหญ่ๆ อย่าง บ้าน รถ ก็เคลียร์กันดีๆ นะคะจะได้ไม่ยุ่งยากกันภายหลัง เพราะอย่าลืมว่าทรัพย์สินบางอย่างของเรา ผูกพันกับครอบครัวเดิมของเราด้วยนะคะ

ทั้งหมดนี้เป็นประเด็นเรื่องการเงินที่ต้องคุยต้องเคลียร์ให้ชัดเจนก่อนที่จะตกลงแต่งงานและจดทะเบียนสมรสกัน เมื่อทุกอย่างราบรื่น เรื่องเงินลงตัวแล้ว สเต็ปต่อไปของการแต่งงาน การสร้างครอบครัวก็จะง่ายขึ้น มีการวางแผนอย่างเป็นระบบมากขึ้น เรื่องเงินก็จะไม่ใช่ปัญหาในชีวิตคู่ ถือว่าหมดเรื่องเครียดไปอีกหนึ่งเรื่อง ใครที่กำลังจะแต่งงานก็อย่าลืมเคลียร์เรื่องเงินๆ ทองๆ ให้เรียบร้อยนะคะ

เรื่องน่าอ่าน