Blog Page 151

ข่าวเครดิตบูโร 006/2561 รายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ Doing Business 2019 ด้านการได้รับสินเชื่อ-ความลึกของข้อมูลเครดิต

ข่าวเครดิตบูโร 006/2561       

รายงานการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจ

Doing Business 2019 ด้านการได้รับสินเชื่อ-ความลึกของข้อมูลเครดิต

 5 พฤศจิกายน 2561 : ทีมวิจัยของธนาคารโลก ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้รายงานผลการจัดอันดับความยาก-ง่ายในการประกอบธุรกิจของธนาคารโลก (Doing Business 2019) โดยประเทศไทย ได้รับคะแนน 78.45 เพิ่มขึ้นจาก 77.39 ในการประเมินครั้งก่อน ทำให้ประเทศไทยอยู่ในอันดับที่ 27 จาก 190 ประเทศทั่วโลก สำหรับด้านการได้รับสินเชื่อ (Getting Credit)  ซึ่งประกอบด้วย 1. ดัชนีความแข็งแกร่งของสิทธิทางกฎหมาย (12 ตัวชี้วัด) 2. ดัชนีความลึกของข้อมูลเครดิต (8 ตัวชี้วัด)  ได้ผลรับคะแนนรวม 70 คะแนน จัดเป็นอันดับที่ 44 จาก 190 ประเทศทั่วโลก

นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า เครดิตบูโรในฐานะหน่วยงานผู้ให้บริการข้อมูลเครดิตที่ถูกประเมินในหมวดของการได้รับสินเชื่อ (Getting Credit) / ดัชนีความลึกของข้อมูลเครดิต ขอเรียนว่า ปัจจุบันในรายงานฉบับดังกล่าวนั้น ธนาคารโลกมีเรื่องที่จะต้องประเมินในหมวดการได้รับสินเชื่อ (Getting Credit) / ดัชนีความลึกของข้อมูลเครดิตทั้งสิ้น 8 คะแนน ซึ่งประเทศไทยได้ผ่านการประเมินแล้วจำนวน 7 คะแนนจากคะแนนเต็ม 8 ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ย 4.2 คะแนนของประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก สำหรับอีก 1 คะแนนที่ประเทศไทยต้องการและยังขาดไปคือเรื่องการจัดเก็บและเผยแพร่ข้อมูลผู้ค้าปลีกและข้อมูลจากบริษัทผู้ให้บริการสาธารณูปโภค ซึ่งคณะรัฐมนตรีได้มีมติในการประชุมเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2557 ให้หน่วยงานที่รับผิดชอบเร่งดำเนินการในเรื่องนี้ ตัวของเครดิตบูโรดำเนินการเองไม่ได้ เพราะเป็นผู้ปฏิบัติ (Service Provider) ตามคำสั่งของผู้กำกับดูแล (Regulator) ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจข้อมูลเครดิตและภายใต้ข้อจำกัดและเงื่อนไขทางด้านกฎหมายเท่านั้น ในปัจจุบันการพิจารณาดำเนินการเพื่อบรรลุเป้าหมายในคะแนนสุดท้ายนี้อยู่ในการพิจารณาของคณะกรรมการคุ้มครองข้อมูลเครดิต โดยมีส่วนกำกับข้อมูลเครดิต ธนาคารแห่งประเทศไทยเป็นผู้ดูแลในฐานะทีมเลขานุการของคณะกรรมการชุดดังกล่าวข้างต้น

ปัจจุบันประเทศในกลุ่มภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก อาทิ มาเลเซีย อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น ไต้หวัน จีน ก็มีการเก็บข้อมูลดังกล่าว ซึ่งประโยชน์ของข้อมูลนี้จะมีส่วนช่วยให้คนที่มีประวัติสินเชื่อน้อย/ประวัติสินเชื่อสั้น หรือไม่มีประวัติสินเชื่อจากสถาบันการเงินเลย (Thin Files) มีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อมากยิ่งขึ้น

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! : งาน “Commart Work 2018” วันที่ 1-4 พฤศจิกายน 2561 เวลา 10.00 – 20.00 น. เพลนารี ฮอลล์ (บูธ9) ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! งาน “Commart Work 2018”
วันที่ 1-4 พฤศจิกายน 2561 เวลา 10.00 – 20.00 น.
เพลนารี ฮอลล์ (บูธ9) ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์

รับเครื่องดื่ม..ฟรี
1. เมื่อตรวจเครดิตบูโร รอรับรายงานเครดิตบูโร
2. รับคูปองแลกเครื่องดื่ม…ฟรี
3. แสดงคูปองแก่เจ้าหน้าที่ ณ เคาน์เตอร์ เครดิตบูโร คาเฟ่ รับเครื่องดื่ม (1 ท่านต่อ 1 แก้ว)

(ฟรี!!…บริการตรวจเครดิตบูโร แต่ขอรับเป็นเงินบริจาคแทน พร้อมเปิดคลินิกเครดิตบูโรให้คำปรึกษา)

** เฉพาะรายการลูกค้าบุคคลธรรมดา ยื่นขอตรวจของตนเองเท่านั้น (ไม่รับกรณีรับมอบอำนาจ)

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! : งาน “Thailand Smart Money 2018” จ.ระยอง วันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2561 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา จ.ระยอง

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! 

งาน “Thailand Smart Money 2018” จ.ระยอง วันที่ 3-4 พฤศจิกายน 2561 ศูนย์การค้าเซ็นทรัล พลาซา จ.ระยอง 

ฟรี!!…บริการตรวจเครดิตบูโร แต่ขอรับเป็นเงินบริจาคแทน พร้อมเปิดคลินิกเครดิตบูโรให้คำปรึกษา

ช้อปออนไลน์ยังไงให้คุ้มค่า ปลอดภัย ไม่เป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

ช้อปออนไลน์ยังไงให้คุ้มค่า ปลอดภัย ไม่เป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

สมัยนี้ไม่ต้องก้าวเท้าออกจากบ้านก็สามารถช้อปปิ้งผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชั่นขายของออนไลน์ได้ มีตั้งแต่เสื้อผ้า อาหาร เครื่องครัว ไปจนถึงเครื่องใช้ไฟฟ้าชิ้นใหญ่ ดูเหมือนสะดวกสบาย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงหลายอย่างที่ผู้บริโภคอย่างเราควรระวัง มาดูกันว่าเราจะเลือกช้อปออนไลน์อย่างไร ให้สะดวก คุ้มค่า และปลอดภัยไปพร้อม ๆ กัน

• เปรียบเทียบราคาหลายร้าน
เมื่อเจอสินค้าที่สนใจ อย่าเพิ่งรีบตัดสินใจซื้อจากเว็บไซต์แรกที่เจอ ควรลองค้นหาสินค้าชิ้นเดียวกันนี้จากร้านอื่นหรือเว็บไซต์อื่นแล้วเปรียบเทียบกันดูก่อน อาจจะได้เจอที่ราคาถูกกว่า เงื่อนไขดีกว่า หรือน่าเชื่อถือกว่าก็เป็นได้ ยิ่งเปรียบเทียบหลาย ๆ ก็ยิ่งมีโอกาสได้ข้อเสนอที่ดีที่สุดเพิ่มขึ้นไปด้วย

• เลือกเว็บไซต์ที่เชื่อถือได้
ปัจจุบันมีมีเว็บไซต์และแพลตฟอร์มขายของออนไลน์หลากหลายเจ้าให้เลือกช้อป ทั้งของไทยและต่างประเทศ ควรเลือกเว็บไซต์ที่มีหลักแหล่งเชื่อถือได้ มีระบบการชำระเงินและจัดส่งที่ได้มาตรฐาน และมีบริการหลังการขายที่ดี และอย่าลืมสังเกตุเครื่องหมายรับรองการจดทะเบียนผู้ประกอบการพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ (เครื่องหมาย DBD Registered)

• เช็กรีวิวร้านค้า
เช็คความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์แล้ว อย่าลืมเช็คความน่าเชื่อถือของร้านค้าด้วย หลายเว็บไซต์จะมีระบบรีวิวที่ให้คนที่เคยสั่งสินค้าจากร้านนั้น ๆ มาให้คะแนนหรือแสดงความคิดเห็น ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรแวะอ่านรีวิวก่อนสักนิด ให้ชัวร์ว่าร้านนี้เชื่อถือได้ สินค้ามีคุณภาพ ไม่หลอกลวง

• อ่านเงื่อนไขให้ละเอียด
แต่ละเว็บไซต์หรือแต่ละร้านค้าก็มีเงื่อนไขที่ต่างกันไป เช่น การรับประกันความเสียหาย การรับคืนหรือเปลี่ยนสินค้า การชำระเงินปลายทาง การยกเลิกการสั่งซื้อ ไปจนถึงระยะเวลาในการจัดส่ง อย่าลืมสอบถามรายละเอียดเหล่านี้ให้ดีก่อนซื้อ

• ระวังการจ่ายเงินออนไลน์
การจ่ายเงินออนไลน์ต้องระมัดระวังอาชญากรขโมยข้อมูลรหัสผ่านหรือรหัสบัตรเครดิตของเราถ้าเว็บไซต์นั้น ๆ ไม่มีการป้องกันที่ดีพอ ก่อนชำระเงินควรดูที่ช่อง URL ด้านบนว่ามี SSL Certificate สังเกตได้จาก Address ของเว็บไซต์จะต้องขึ้นต้นด้วย “https://” และมีสัญลักษณ์แม่กุญแจสีเขียว ส่วนการจ่ายผ่านบัตรเครดิตต้องเช็คให้แน่ใจว่าเป็นเว็บไซต์ของธนาคารจริงหรือไม่

ช้อปออนไลน์ยังไงให้คุ้มค่า ปลอดภัย ไม่เป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

• ถามหาเลขพัสดุ
ในกรณีที่ร้านจัดส่งสินค้าด้วยไปรษณีย์ EMS เราสามารถสอบถามเลขพัสดุจากคนขายเพื่อใช้เช็คดูจากเว็บของไปรษณีย์ไทย และติดตามได้ว่าสินค้าของเราจัดส่งถึงไหนแล้ว บริษัทขนส่งเอกชนส่วนมากก็จะมีระบบติดตามพัสดุแบบนี้เช่นกัน ดังนั้นเมื่อสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ควรจะสอบถามเลขพัสดุด้วยทุกครั้ง

• อย่าใช้จ่ายเกินตัว
อันสุดท้ายนี้สำคัญที่สุด เพราะถ้าเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย ไม่มีประโยชน์ หรือแพงเกินตัว ไม่ว่าจะซื้อด้วยเงื่อนไขใดก็ไม่ใช่การตัดสินใจที่ดีอยู่ดี ก่อนจะคลิกจ่ายเงินทุกครั้ง อย่าลืมถามตัวเองหลาย ๆ ครั้งว่าสินค้านั้นคุ้มค่ากับเงินที่เสียไปมากน้อยแค่ไหน ไม่อย่างนั้นอาจได้เสียใจทีหลัง หรือเป็นหนี้บัตรเครดิตตามมาได้

วัยรุ่นต้องรู้! พฤติกรรมแบบนี้ เสี่ยงเป็นหนี้ในวัยเรียน

วัยรุ่นต้องรู้! พฤติกรรมแบบนี้ เสี่ยงเป็นหนี้ในวัยเรียน

การฝึกบริหารเงินด้วยตัวเองในตอนที่ยังเป็นวัยรุ่น จะเป็นรากฐานที่ดีให้กับสุขภาพการเงินในวันข้างหน้า แต่การใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายจนเป็นหนี้ตั้งแต่วัยเรียน ก็เป็นการส่งสัญญาณอันตรายถึงอนาคตได้เหมือนกัน มาดูกันว่าพฤติกรรมการใช้จ่ายแบบไหนที่วัยรุ่นควรระวัง อาจทำให้เงินหดหาย แถมมีหนี้ตามมาได้

• ซื้อของตามกระแส
ของเล่นอะไรกำลังฮิต ไอเทมไหนกำลังอินเทรนด์ คอนเสิร์ตไหนกำลังมา เป็นต้องซื้อมาใช้ให้เสมอหน้าเสมอตาเพื่อนฝูง มีประโยชน์ไหมไม่สนใจ แพงเท่าไรเท่ากัน แบบนี้ผู้ปกครองให้เงินมาเท่าไรก็คงเก็บไม่อยู่ ยิ่งถ้าไปหยิบยืมเงินคนอื่นมาซื้อยิ่งน่าเป็นห่วง

• นิยมแบรนด์เนม
การชอบสินค้าแบรนด์เนมไม่ใช่เรื่องผิด แต่ถ้าถึงขนาดต้องทนกินอยู่อย่างขัดสนหรือกู้ยืมเงินเพื่อนฝูงมาเพื่อซื้อของหรูหรา แปลว่ารสนิยมมันอาจจะเกินความสามารถของเราไปสักหน่อย โดยเฉพาะนักเรียน นักศึกษา ที่ยังไม่มีรายได้เป็นของตัวเอง ไม่ควรจะหลงใหลไปกับของเหล่านี้จนเกินพอดี

• ปาร์ตี้ไหนไม่เคยพลาด
ใครชวนไปกินไปดื่มที่ไหนก็ไปหมด กินอาหารนอกบ้านทุกวัน หรือสัปดาห์ละหลายครั้ง แพงแค่ไหนไม่เคยเซย์โน กว่าจะรู้ตัวเงินก็ร่อยหรอไปทุกวัน หนักข้อขึ้นก็ต้องกู้ยืมเงินคนอื่น รู้อย่างนี้แล้วก็อย่าลืมกลับมากินข้าวที่บ้านกับครอบครัวบ้างนะวัยรุ่น

• หน้าใหญ่ใจโต
มีเงินขึ้นมาเมื่อไร เป็นต้องเสนอเลี้ยงเพื่อนฝูงแบบจัดเต็ม แฟนอยากได้อะไรทุ่มเงินซื้อให้ไม่อั้น เพื่อนขอยืมเงินก็ไม่เคยปฏิเสธ ทำแบบนี้ถึงจะเป็นที่ชื่นชอบของคนรอบข้าง แต่ไม่ดีกับเงินในกระเป๋าตัวเองเลยใช่ไหมล่ะ เพราะถึงคราวมีเรื่องใช้เงินฉุกเฉินขึ้นมาแล้วเงินหมด ก็คงไม่พ้นต้องเป็นหนี้ไปตามระเบียบ

• ข้องเกี่ยวอบายมุข
การพนัน บุหรี่ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ สิ่งเสพติด การเที่ยวกลางคืน เหล่านี้ล้วนเป็นอบายมุขที่เด็กวัยรุ่นปัจจุบันเข้าถึงได้ไม่ยาก แน่นอนว่าต้องใช้เงินจำนวนมาก โดยเฉพาะการพนันกับสิ่งเสพติด ที่อาจทำให้เป็นหนี้หลักหมื่นหลักแสน หรือติดคุกตะรางได้เลย

• ของสะสมจัดเต็ม
ทั้งวัยรุ่นและผู้ใหญ่ต่างก็มีของสะสมที่ตัวเองชอบ เช่น หนังสือการ์ตูน หนังสือนิยาย ตุ๊กตา สมุดภาพ โปสเตอร์ หรือสินค้าเกี่ยวกับศิลปินที่ชื่นชอบ ถ้าอยากจะใช้เงินไปกับสิ่งเหล่านี้ ควรกำหนดงบให้ชัดเจน แยกเงินเก็บเอาไว้ต่างหาก หรือทำงานพิเศษ จะได้ทำสิ่งที่รักได้แบบไม่ต้องเป็นหนี้และไม่รบกวนผู้ปกครอง

• คบเพื่อนไม่ดี
วัยรุ่นปัจจุบันใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนมากกว่าพ่อแม่ ดังนั้นการคบเพื่อนที่ติดเที่ยว ติดพนัน ใช้เงินฟุ่มเฟือย ฯลฯ จึงมีความเสี่ยงที่จะทำให้เรากลายเป็นคนแบบนั้นไปด้วย ซึ่งนอกจากจะเสียเงินแล้ว ยังเสียการเรียน หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียอนาคตได้เลย

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! : งาน “มหกรรมบ้านดี” จ.ชลบุรี วันที่ 27-28 ตุลาคม 2561 ห้างฮาร์เบอร์ มอลล์ แหลมฉบัง จ.ชลบุรี

ตรวจเครดิตบูโร ฟรี! งาน “มหกรรมบ้านดี” จ.ชลบุรี
วันที่ 27 ตุลาคม 2561 เวลา 10.00 – 19.00 น.
วันที่ 28 ตุลาคม 2561 เวลา 10.00 – 18.00 น.
ห้างฮาร์เบอร์ มอลล์ แหลมฉบัง จ.ชลบุรี
ฟรี!!…บริการตรวจเครดิตบูโร แต่ขอรับเป็นเงินบริจาคแทน พร้อมเปิดคลินิกเครดิตบูโรให้คำปรึกษา

หัวข้อข่าว : ออมก่อนกู้(บ้าน) : นสพ. โพสต์ทูเดย์  : วันที่ 22 ต.ค. 2561 หน้า B8 : โดย คุณชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์

ออมก่อนกู้(บ้าน)

นสพ. โพสต์ทูเดย์   วันที่ 22 ต.ค. 2561 หน้า B8

ชีวรัตน์ กิจนภาธนพงศ์

          ข่าว… ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หรือแบงก์ชาติ เตรียมออกมาตรการคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ ทำให้หลายคนที่คิดจะกู้ซื้อบ้านต้องคิดหนัก ว่าจะกู้เงินซื้อบ้านยากขึ้น
          แต่อย่าตื่นตระหนกไปที่แบงก์ชาติจะออกมาตรการคุมสินเชื่อบ้านนั้น คุมเฉพาะคนที่ซื้อบ้านหลังที่สอง หรือซื้อบ้านมูลค่า 10 ล้านบาท โดยกำหนดจะต้องให้วางดาวน์ 20%  และจะไม่ให้ปล่อยเงินกู้ top-up  เพิ่มเติม เช่น เงินสินเชื่อเพื่อซื้อประกันชีวิตคุ้มครองสินทรัพย์  สินเชื่อตกแต่งบ้านเพิ่มเติม หรือวงเงินสินเชื่ออเนกประสงค์ ฯลฯ ใครที่ไม่เข้าข่าย 2 ข้อนี้ ก็โล่งอกกัน
          เกณฑ์มาตรการคุมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์ใหม่นี้  วัตถุประสงค์หลักๆ ธปท.ต้องการที่จะสกัดการเก็งกำไร และป้องกันฟองสบู่อสังหาริมทรัพย์
          สำหรับคนที่มีแผนจะซื้อบ้านหรือคอนโดมิเนียมราคาไม่ถึง 10 ล้านบาท หรือบ้านหลังแรกๆ ก็ยังไม่ต้องวิตกไป แบงก์พาณิชย์ยังใช้หลักเกณฑ์เดิมในการพิจารณาสินเชื่อ
          การเตรียมพร้อมที่จะกู้ซื้อบ้าน สิ่งแรกอยากจะแนะนำให้ควรวางแผน “ออมก่อนกู้”  แต่การจะออมเงินให้ครบเท่ากับราคาบ้านที่จะซื้อก็คงเป็นเรื่องยาก เพราะต้องใช้เวลานาน ดังนั้น การเก็บออมเงินเพื่อซื้อบ้านแค่เก็บให้ได้เพียงพอต่อการดาวน์บ้านและค่าใช้จ่ายต่างๆ ก็พอแล้ว
          ออมก่อนกู้ดีอย่างไรหลายคนก็สงสัยทำไมต้องเก็บออมเงินก่อนกู้ เดี๋ยวนี้แบงก์พาณิชย์แข่งขันกันเสนอเงินให้กู้ซื้อบ้าน  100% แล้ว ++  ให้เงินกู้เกินกว่า 110-120% ของราคาบ้านก็มี  “มีเงินทอน”  เอาไปตกแต่งบ้าน ซื้อเฟอร์นิเจอร์ หรือเงินสดไปปิดหนี้บัตรเครดิต หรือเงินส่วนเกินไปใช้อื่นๆ แต่ต่อไปคงยากขึ้น แบงก์ชาติเริ่มที่จะส่งสัญญาณ “อย่าทำ””การออมเงิน” ส่วนใหญ่ก็เพื่อให้มีเงินไว้ใช้จ่ายตามเป้าหมายที่เราวางไว้ และที่สำคัญการจะกู้ซื้อบ้านแล้วมีเงินออมมีเงินฝากไว้กับธนาคารอย่างสม่ำเสมอจะทำให้ธนาคารมั่นใจได้ว่า เราเป็นผู้กู้ที่มีความสามารถในการชำระหนี้ เป็นผู้กู้ที่มีคุณสมบัติที่ดี จึงทำให้ผู้ที่มีเงินออมก่อนกู้ได้รับการอนุมัติกู้สินเชื่อบ้านได้
          โดยเฉพาะผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำ “สเตตเมนต์” หรือรายการทางการเงินบัญชีเงินฝาก เป็นเรื่องสำคัญจุดหนึ่งที่ธนาคารพาณิชย์จะพิจารณาเงินกู้ให้
          การอนุมัติสินเชื่อธนาคารจะมอง 2 ประเด็น คือ
          1.ความสามารถในการชำระหนี้เพราะธนาคารจะมองว่าเมื่อเรานำเงินฝากธนาคารจำนวนเท่าๆ กันทุกเดือน ย่อมแสดงให้เห็นว่าเมื่อเรากู้ยืมไปแล้ว ผู้กู้ที่ออมเงินย่อมมีความสามารถในการชำระหนี้แน่นอน
          2.วินัยทางการเงิน = ความตั้งใจในการชำระหนี้เพราะเงินฝากประจำ จะทำให้เห็นว่ามีความตั้งใจในการผ่อนชำระคืน
          ดังนั้น การออมเงินหรือเก็บเงินทุกๆ เดือนในจำนวนเท่าๆ กันจะเป็นการออมที่ได้ประโยชน์อย่างมาก และเป็นหลักฐานในการขอกู้ซื้อบ้านได้เป็นอย่างดี
          สิทธิพิเศษเงินออมเพื่อกู้ซื้อบ้าน
          สถาบันการเงินจะเปิดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับคนอยากมีบ้าน เช่น หากออมเงินในลักษณะนี้เดือนละเท่าๆ กันเป็นระยะเวลาหนึ่ง เมื่อครบกำหนดก็จะสามารถขอยื่นกู้สินเชื่อได้ทันที โดยสถาบันการเงินจะมีตัวเลขออกมาเลยว่าจะให้กู้ได้กี่เท่าของเงินออมในแต่ละเดือน
          สถาบันการเงินจะมองว่า เรามีวินัยในการออมที่ดี โอกาสในการที่สินเชื่อจะผ่านการพิจารณาจึงมีสูงขึ้นตามไปด้วย
          ตัวอย่าง…ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้จัดทำโครงการ ธอส.โรงเรียนการเงิน
          ที่ปลูกสร้างวินัยทางการเงินให้กับลูกค้าก่อนที่จะกู้เงิน โดยเฉพาะเปิดโอกาสให้ผู้ที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อกับธนาคารพาณิชย์ เช่น กลุ่มอาชีพอิสระ ที่ไม่มีรายได้ประจำ ทำให้ไม่มีเอกสารที่จะยื่นของกู้เงินจากสถาบันการเงินได้   ผู้ที่เคยมีปัญหาประวัติการเงินไม่ดี และนักศึกษาจบใหม่ เมื่อเข้าโครงการฝึกวินัยทางการเงินให้เริ่มออมเงินตามระยะเวลากำหนด เมื่อสักระยะหนึ่งธนาคารเห็นว่ามีวินัยทางการ
          เงินแล้วก็สามารถให้เงินกู้ซื้อบ้านได้
          ทั้งนี้ ลูกค้าตามโครงการดังกล่าว
          เมื่อปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ และเงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด จะมีโอกาสยื่นคำขอพิจารณา สินเชื่อกับธนาคาร ซึ่งธนาคารจะพิจารณาผ่อนปรนสัดส่วนความสามารถชำระหนี้ต่อรายได้ (Debt Service Ratio หรือ DSR) เพิ่มเป็นสูงสุดไม่เกิน 50% ของรายได้สุทธิ วงเงินให้กู้สูงสุดไม่เกิน 3 ล้านบาท ผ่อนชำระได้นานสูงสุดถึง 30 ปี
          อีกหนึ่งตัวอย่าง เป็นแนวความคิดของ “กิตติ พัฒนพงศ์พิบูล” ประธานสมาคมสินเชื่อที่อยู่อาศัย ที่พยายามจะผลักดัน “โครงการสนับสนุนออมก่อนกู้ซื้อบ้าน” เพราะช่วยเหลือเพื่อให้ผู้ที่ไม่มีรายได้ประจำ และคนที่เข้าไม่ถึงสินเชื่อ สามารถกู้เงินจากแบงก์ได้มากขึ้น
          ปัญหาปัจจุบันพบว่า ผู้มีรายได้น้อย คนที่ไม่มีรายได้ประจำจะขอสินเชื่อจากธนาคารได้ยาก เพราะธนาคารไม่รู้ว่า ประวัติการกู้ยืมและความสามารถในการชำระหนี้แบบไหน ดังนั้นโครงการนี้อาจจะให้ลูกค้าออมเงินต่อเนื่อง แต่ละเดือนก็ออมจำนวนเดียวกับค่างวดที่จะผ่อนบ้าน
          “ถ้าเราวางแผนก่อนว่าจะซื้อบ้าน หากเราสามารถออมเงินต่อเนื่อง 2 ปี ในจำนวนที่เท่ากับค่างวด ก็เป็นการแสดงว่าเรามีความสามารถในการชำระหนี้ มีความรับผิดชอบ ก็มีโอกาสที่จะได้ สินเชื่อจากธนาคารมากขึ้น”
          สิ่งสำคัญโครงการนี้จะสำเร็จได้จะต้องมี “มาตรการจูงใจ” และต้องมีความร่วมมือจากหลายส่วน เช่น หน่วยงานภาครัฐ ภาคธนาคาร และต้องมีการตั้งคณะกรรมการกองทุนของโครงการสนับสนุนออมก่อนกู้ซื้อบ้าน เพื่อพิจารณาในรายละเอียด เช่น เงื่อนไขผู้ที่เข้าโครงการได้ การกำหนดเพดานราคาบ้าน เงื่อนไขการ
          ผ่อนชำระ ฯลฯ
          โดยเฉพาะมาตรการจูงใจ เช่น ออมแล้วได้เงินสมทบ หรือหากฝาก
          เงิน “ออม” เพื่อซื้อบ้านก็ควร
          ได้รับสิทธิพิเศษดอกเบี้ย
          เงินฝากที่สูง หรือหากกลุ่มนี้ขอสินเชื่อก็ควรได้ดอกเบี้ยต่ำ
          ตัวอย่าง …
          กู้เงินซื้อบ้านราคา 1 ล้านบาท ต้อง เตรียมเงินดาวน์ 15% ของราคาบ้าน ก็เฉลี่ยมาแบ่งออมในแต่ละเดือน พอออมได้ 15% ครบตามกำหนด
          ทางโครงการก็จะให้เรียกว่าเป็น Saving Bonus  ให้ผู้ออมได้เงินสมทบเพิ่มอีก 5% ดังนั้นผู้กู้จะมีเงินดาวน์รวม 20% ของราคาบ้าน ทำให้วงเงินที่ต้องกู้ลดลง และมีโอกาสกู้ได้มากขึ้น
          สำหรับความคืบหน้าโครงการนี้เตรียมนำเสนอในที่ประชุมของคณะกรรมการนโยบายที่อยู่อาศัยแห่งชาติที่อยู่ภายใต้การทำงานของรัฐบาล ซึ่งก็คาดว่าเร็วๆ นี้โครงการนี้น่าจะออกมาได้
          ต้องมีเงินออมเป็นจำนวนเท่าใดปกติการกู้ซื้อบ้านจะต้องมี “เงินดาวน์” ส่วนหนึ่ง นั่นก็คือ “เงินออม” นั้นเอง หรือบางโครงการอาจจะเป็นการทยอยจ่ายเงินดาวน์ผ่านโครงการด้วยระยะเวลาหนึ่ง หลังจากนั้นก็ไปยื่นกู้แบงก์
          โครงการบ้านจัดสรรที่เปิดใหม่มักจะใช้วิธีให้ลูกค้าผ่อนเป็นงวดๆ เช่น เริ่มจากค่าจอง 10,000 บาท ค่าทำสัญญา 50,000 บาท จากนั้นผ่อนไปเป็นงวดๆ งวดละ 25,000 บาท เป็นระยะเวลา 10 เดือน และผ่อนดาวน์งวดสุดท้ายที่ 90,000 บาท เป็นต้น รวมเงินชำระเบื้องต้น  400,000 บาท ซึ่งจะคิดเป็น 20% ของราคาบ้านที่ตั้งราคาขายไว้ 2 ล้านบาท  ส่วนเงินที่เหลือ 1.6 ล้านบาท ก็ไปกู้กับธนาคารพาณิชย์
          วิธีคิดง่ายๆ ควรมีเงินออมอย่างน้อยที่ประมาณ 20% ของราคาบ้านที่จะซื้อเพราะสถาบันการเงินส่วนใหญ่จะปล่อยกู้ให้กับลูกค้าทั่วไปที่ประมาณ 80% ของราคาประเมิน ยกเว้นโครงการบ้านจัดสรรบางโครงการที่ได้รับการสนับสนุนจากธนาคารที่เรายื่นกู้พอดี ซึ่งอาจจะมีโปรโมชั่นในการให้ยื่นกู้ได้ 90-100% ของราคาขาย
          และต้องเตรียมเงินเพิ่มอีก 5% เพื่อใช้จ่ายค่าธรรมเนียมต่างๆ ในการโอน การจดจำนอง ฯลฯ
          สรุปแล้วเราจึงควรออมเงินให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ โดยอย่างน้อยควรสะสมเงินให้ได้ประมาณ 25% ของราคาซื้อขาย
          ที่สำคัญควร “ออมอย่างสม่ำเสมอ”อย่างน้อย ก็เมื่อเป็น “การซ้อมผ่อนบ้าน”หากผ่านด่านนี้ไปแล้ว ก็ลุยเลือกซื้อ “บ้าน” ในฝันกันได้เลย


          หมายเหตุ :  ปัจจุบันมีเครื่องมือช่วยคำนวณเบื้องต้นเกี่ยวกับความสามารถในการกู้เงินซื้อบ้าน สามารถที่จะหาได้ตามเว็บไซต์สถาบันการเงินต่างๆ

          เงินเดือนเท่านี้ผ่อนสูงสุดต่อเดือนได้เท่าไหร่
          “จำนวนเงินผ่อนชำระหนี้สูงสุดที่ผู้กู้จะสามารถแบกรับภาระได้คือไม่เกิน 40% ของรายได้”
          ธนาคารพาณิชย์มีหลักการประเมินความสามารถในการแบกรับภาระหนี้ของลูกหนี้โดยยึดหลักที่ 40% ของรายได้ต่อเดือนของลูกหนี้ ในการคำนวณงวดผ่อนชำระสูงสุดที่ผู้กู้จะสามารถชำระได้
          ตัวอย่าง ผู้กู้มีเงินเดือน 30,000 บาท  จะสามารถผ่อนบ้านสูงสุดได้เท่าไร30,000 x 40% = 12,000 บาทหากผู้กู้มีรายได้ 30,000 บาท/เดือน จะสามารถผ่อนบ้านสูงสุด 40% ของรายได้คือเป็นจำนวนเงิน 12,000 บาท
          ในกรณีที่ผู้กู้ซื้อบ้านมีภาระหนี้สินที่อยู่ระหว่างการผ่อนชำระอยู่แล้ว เช่น ผ่อนรถอยู่ เดือนละ 6,000 บาท ซึ่งหนี้สินที่อยู่ระหว่างการผ่อนอยู่นี้จะนับรวมในจำนวนเงิน 12,000 บาท ทำให้ผู้กู้เหลือความสามารถในการผ่อนบ้านต่อเดือนลดลง (12,000-6,000) เหลือ 6,000 บาท/เดือนเท่านั้น
          และถ้าหากมีกำลังสามารถผ่อนได้  6,000 บาท/เดือน ก็เท่ากับว่าเราสามารถกู้ซื้อบ้านได้ราคาประมาณ 1,000,000 บาท

คอลัมน์เศรษฐกิจคิดง่ายๆ : “มีเสียงโวยเสมอ ถ้าหยุดเติมไวน์ ในงานรื่นเริง” : วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561

คอลัมน์ เศรษฐกิจคิดง่ายๆ

“มีเสียงโวยเสมอ ถ้าหยุดเติมไวน์ ในงานรื่นเริง”

นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันจันทร์ที่ 22 ตุลาคม 2561

 

มันจะมีเสียงโวยเสมอ ถ้ามีการหยุดเติมไวน์ ในขณะงานรื่นเริงกำลังสนุกสนาน

1.สุรา ไวน์  ของมึนเมา หากดื่มกินพอประมาณก็อาจกระตุ้นเลือดลมให้คึกคัก ทานอาหารอร่อยขึ้น สนทนาได้สนุกขึ้น แต่ถ้าเกินเลยไปจะเป็นปัญหาต่อสุขภาพ  อันตรายต่อตนเองและผู้อื่นหากขับขี่ยานพาหนะ และในระยะยาวแล้วผู้ที่เสพติดจะต้องมีต้นทุนที่ต้องจ่ายในเรื่องสุขภาพ  ซึ่งกว่าจะรู้สึกก็คงคิดได้ว่า … เรามาถึงตรงนี้ได้อย่างไร… ท่านผู้อ่านคงเคยได้ยินเรื่องแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง

2.ในเรื่องของการลงทุนก็เช่นกัน ถ้าผู้ลงทุนคิด ใคร่ครวญ และคำนึงถึงความเสี่ยงเทียบกับผลตอบแทนและไม่เอาความกดดันที่ตนเองไม่รู้จะหันไปลงทุนอะไรให้มันพอกับสิ่งที่ต้องการและคาดหวังไว้ เนื่องจากในสภาพความจริงเวลานี้อัตราดอกเบี้ยเงินฝากมันเตี้ยติดดิน แบงก์ก็ยังกำไรมากมายเกินกว่าแสนล้านในไตรมาส3ของปีนี้ดอกเบี้ยเงินกู้ขยับได้ยากเพราะจะกระทบคนกู้  เงินฝากที่เป็นฐานของแหล่งเงินกู้ก็ต้องอยู่แบบนี้มานานนับสิบปี ท่านผู้อ่านท่านใดจำได้บ้างว่าเงินฝากออมทรัพย์เราเกิน 2-3% เกิดขึ้นในปี พ.ศ.ใด มันจึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจว่า ผู้คนที่พอจะเก็บออมได้บ้างจึงค้นหารูปแบบการลงทุนโดยละเลย หรือตั้งใจจะไม่ได้ยินเสียงตะโกนว่ามันเสี่ยงนะเพราะคิดว่าทำดีกว่าไม่ทำ  และปลอบใจตัวเองว่า มันคงไม่เกิดขึ้นกับเรา

3.การมีบ้านเป็นของตนเอง  เป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ของผู้คนในสังคมเราจำนวนไม่น้อย  การพิสูจน์ตนเองของครอบครัวที่ชายเป็นใหญ่  จึงมุ่งสร้างฐานะในช่วงวัยทำงาน บ้านเป็นสินทรัพย์ชิ้นใหญ่ บ้านหลังแรกจึงเป็นเรื่องที่มุ่งเน้นไปตามความเชื่อว่า ซื้อบ้านผ่านการกู้  วางดาวน์เป็นก้อน เข้าอยู่อาศัยจริง เป็นการลงทุนสร้างฐานะ และถ้าขายไปในอนาคตก็จะได้กำไรกลับมาพอสมควร ความเชื่อ ความจริง ความงามในความมุ่งหมายจึงไม่มีใครจะโต้แย้งว่าบ้านหรือคอนโดหลังแรกจะสร้างปัญหา

4.แต่บ้านหรือคอนโดสัญญา ที่สองมันมีประเด็นที่อาจมีความเห็นต่าง เช่น

4.1 ถ้าบ้านหลังแรกอยู่ไกล อยู่ชานเมือง  การขนส่งสาธารณะยังไม่เสร็จ  รถไฟฟ้ายังไม่มาหานะเธอ ใครต่อใครก็สงสารลูกสงสารตัวเองที่จะต้องแหกขี้ตาแต่เช้าวิ่งเข้ามาในเมืองให้ทันเวลา  ถ้าเขาและเธอมีความจำเป็นจริงๆ พอมีเงินออมบ้าง  เราจะไปสร้างเงื่อนไขเพิ่มให้เขาเหล่านั้นกู้เงินมาซื้อที่อยู่อาศัยยากลำบากขึ้นอีกหรือ

4.2 แต่ถ้าบ้านหรือคอนโดหลังที่สองที่คนอีกกลุ่มมุ่งหมายจะใช้วิธีหมุนหนี้ หมุนเงิน  เกินฐานะที่จะลงทุน หวังจะกู้มาซื้อแล้วปล่อยเช่าเพื่อเอาค่าเช่ามาจ่ายค่าผ่อน  หรือวางดาวน์ปลอมๆ กู้เงินโดยเป็นสัดส่วนที่สูงของราคาที่เวอร์ เงินกู้ที่ได้ถูกทอนกลับในส่วนของเงินดาวน์ที่ลงไปก็เท่ากับว่าเขาจับเสือมือเปล่าใช่หรือไม่ พฤติกรรมมีจริงหรือไม่ถ้ามีจริงมันมากหรือน้อยมันขยายผลขยายแผลไปขนาดไหนและจะจัดการตรงนี้กันอย่างไร มาตรการฉีดยาฆ่าหญ้าโดยไม่ทำให้มะลิ กุหลาบ แก้วเจ้าจอม หรือต้นไม้หอมอื่นๆ โดนด้วยจะทำกันแบบไหน

5.ก็ไหนคนปล่อยกู้บอกตัวเองมี big data ก็ไหนคนพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บอกว่าตัวเองทำธุรกิจ บน big data  ก็ไหนผู้กำกับ กรรมการบอกมีข้อมูลที่มาจาก big data ก็ไหนคนที่ทำวิเคราะห์วิจัยบอกทำมาจาก big data ทำไมจึงไม่เอาผลจาก big data ที่ท่านๆ มีมาชนกันล่ะ เอาความรู้จริงมาถกแถลง อภิปราย กัน อย่าเอาความรู้สึกให้ใช้ความรู้จริง ลึกๆ ผมในฐานะคนทำงานมีคำถามในใจว่า หรือว่าที่บอกว่าฉันมี big data ที่แท้มันคือคำพูดที่ต้องพูด มีไม่มีไม่รู้แต่ต้องพูดให้ดูดีของผู้นำองค์กรที่ตนเองมีสัญญาจ้างสี่ปีค้ำคออยู่

6.ไม่มีงานเลี้ยงใดไม่เลิกรา มีเริ่มต้นมีกำไรแพร่กระจาย ทำกันทุกตึกทุกแห่งที่อยู่อาศัย ทำกันเพราะแข่งขัน แข่งกันจนหมดมุขดี ก็ต้องใช้มุขปัญญาแบบมาร พิสดารจนหมดทางแล้ว คนที่เฝ้าดูอดรนทนไม่ได้เพราะกลัวว่าเชื้อไฟเล็กๆ จะกลายเป็นไฟป่า เหตุเพราะหมู่บ้านเคยถูกไฟป่าเผาเป็นจุณในปี 2540 ดังนั้นจึงตัดสินใจเลิกเสิร์ฟเครื่องดื่มทุกชนิดในงานเลี้ยงที่กำลังสนุก และประธานยังไม่กล่าวปิดงาน ที่สำคัญแขกทุกคนต่างเจอน้ำสมุนไพรตราพญานาคคะนองนา ที่มีส่วนผสมของยาฆ่าหญ้ากิเลสในใจคนละแก้วครึ่งแก้ว จึงไม่แปลกใจที่จะมีเสียงอื้ออึง เมื่อฝุ่นได้จางลง ผมหวังใจว่าจะได้เห็นปัญญาจาก  big data ที่ท่านๆ บอกว่ามีนะครับ

มันจะมีเสียงโวยเสมอ ถ้ามีการ หยุดเติมไวน์  ในขณะที่งานรื่นเริง กำลังสนุก

เทคนิคบริหารเงินสำหรับพ่อแม่ เลี้ยงลูกให้ดีได้แบบไม่เป็นหนี้

โบราณว่า “มีลูก 1 คน จนไป 7 ปี” เพราะกว่าจะเลี้ยงเด็กคนหนึ่งให้โตขึ้นมาได้ เต็มไปด้วยภาระและค่าใช้จ่ายหนักอึ้ง ตั้งแต่ค่าคลอดยาวไปถึงค่าเล่าเรียนปริญญาโท จนบางครอบครัวถึงกับต้องยอมเป็นหนี้ ยิ่งถ้ามีลูกมากกว่า 1 คนก็ยิ่งไม่ง่าย ทักษะการบริหารเงินจึงเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อแม่จำเป็นต้องมี มาดูกันว่ามีเทคนิคอะไรบ้าง ที่ทำให้พ่อแม่บริหารเงินให้ได้ดียิ่งขึ้น

• ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย
เมื่อสมาชิกในครอบครัวเพิ่มขึ้น รายจ่ายก็ยิ่งยิบย่อย ฉะนั้นการทำบัญชีรายรับรายจ่ายจึงสำคัญ เงินเข้ามาเท่าไร จ่ายออกไปกับอะไรบ้าง อย่าลืมบันทึกไว้ให้ดี มีรูรั่วตรงไหนจะได้อุดทัน คอยระวังอย่าให้รายจ่ายเกินรายรับไปเด็ดขาด

• ออมเงินแยกเป็นส่วน ๆ
ออมเพื่อเป็นค่าคลอด ค่าเทอม ค่าเรียนพิเศษ ค่ารักษาพยาบาล ฯลฯ สารพัดค่าใช้จ่ายที่จำเป็นในการเลี้ยงลูก ควรประเมินจำนวนเอาไว้คร่าว ๆ ล่วงหน้า และเก็บเงินแยกเป็นส่วน ๆ ไว้ตามวัตถุประสงค์ ถึงเวลาต้องจ่ายจริงจะได้ไม่ขัดสน
• เงินสำรองฉุกเฉินต้องมี
นอกจากค่าใช้จ่ายที่เล็งเห็นได้ ยังต้องออมเงินไว้เผื่อเหตุฉุกเฉินอื่น ๆ โดยควรมีเงินสำรองฉุกเฉินเก็บไว้ไม่น้อยกว่า 6 เท่าของค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต่อเดือน และไม่แตะต้องเงินจำนวนนี้ถ้าไม่จำเป็น แบบนี้แม้ว่าครอบครัวจะขาดรายได้กะทันหัน ก็ยังมีเงินพอกินอยู่ไปได้อีกประมาณครึ่งปีนั่นเอง

• ลงทุนให้เหมาะสม
มองหาช่องทางลงทุนอื่นนอกเหนือจากเงินฝาก เช่น ลงทุนในหุ้น กองทุน สลากออมสิน ฯลฯ อย่างไรก็ตาม ไม่ควรทุ่มเงินลงทุนในหลักทรัพย์ที่ความเสี่ยงสูงในจำนวนมากเกินไป เพราะมีครอบครัวต้องดูแล อาจจะไม่สามารถรับความเสี่ยงได้เท่ากับคนโสด เน้นความมั่นคงในระยะยาวจะดีกว่า

• อย่าวางใจรายได้ทางเดียว
แม้ว่าจะมีรายได้มาก แต่ถ้าเป็นรายได้ที่มาจากทางเดียวก็ไม่ควรไว้วางใจ เพราะเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นได้เสมอ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง ควรหาช่องทางรายได้เสริมอื่นเผื่อไว้บ้าง เช่น ขายของออนไลน์ ขายงานฝีมือ เป็นต้น

• อะไรประหยัดได้ก็ประหยัด
ถึงจะหาเงินได้มาก แต่ถ้าเอาเงินไปจ่ายกับสิ่งไม่จำเป็นก็ไร้ประโยชน์ ฉะนั้นอย่าลืมตัดค่าใช้จ่ายฟุ่มเฟือยออกไปด้วย และคอยมองหาช่องทางประหยัดเงินสม่ำเสมอ เช่น น้องรับช่วงต่อของใช้จากพี่ ไม่ยึดติดกับสินค้าแบรนด์ดัง ทำอาหารกินเองที่บ้านแทนการออกไปกินข้างนอก เป็นต้น

• ทำประกัน
หัวหน้าครอบครัวควรวางแผนทำประกันอย่างเหมาะสม เช่น ประกันชีวิต ประกันสุขภาพ หากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา คนข้างหลังจะได้ก้าวต่อไปได้ ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง

• ปลูกฝังวินัยการใช้เงินให้ลูก
ต่อให้พ่อแม่ประหยัดแค่ไหน แต่ถ้าลูกยังใช้เงินเป็นกระดาษ ก็อาจพาครอบครัวสู่ความลำบากได้สักวัน ฉะนั้นอย่าลืมสอนให้ลูกใช้เงินอย่างชาญฉลาดด้วย และเป็นตัวอย่างที่ดีให้ลูกดูสม่ำเสมอ เพื่อสุขภาพทางการเงินที่ดีของครอบครัวในวันนี้ และเพื่ออนาคตของลูกเองในวันหน้า

ขอขอบคุณข้อมูลจาก Parents One

เรื่องน่าอ่าน