Blog Page 179

ดาวน์โหลดเอกสารคำขอ เพื่อตรวจเครดิตบูโร

 

ตรวจเครดิตบูโรของตนเอง

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การตรวจเครดิตสกอริ่ง (คะแนนเครดิต)

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

การให้บริการนิติบุคคลตรวจเครดิตบูโรของตนเองทางไปรษณีย์

แบบคำขอนิติบุคคล-ตรวจสอบทางไปรณีย์ :

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ขั้นตอนการยื่นขอแก้ไขข้อมูล หรือมีข้อโต้แย้งข้อมูลเครดิต สำหรับบุคคลเจ้าของข้อมูล

แบบคำขอใช้สิทธิตรวจสอบ/แก้ไขข้อมูลเครดิต
แบบคำขอแก้ไขรหัสสถานะบัญชี (เนื่องจากได้ชำระหนี้ให้แก่นิติบุคคลผู้รับโอนหนี้เสร็จสิ้นแล้ว)

แบบคำขอแก้ไขข้อมูลวันที่และประเภทของสัญญาปรับปรุงโครงสร้างหนี้ หรือ ข้อตกลงเปลี่ยนแปลงเงื่อนไขสัญญาเพื่อช่วยเหลือลูกหนี้ที่มีปัญหาหนี้เรื้อรัง (เนื่องจากได้ชำระหนี้ให้แก่นิติบุคคลผู้รับโอนหนี้เสร็จสิ้นแล้ว)



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ขั้นตอนการตรวจเครดิตบูโรที่ธนาคาร

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

ขั้นตอนการตรวจเครดิตบูโรผ่าน ATM, Mobile Banking และ Internet Banking

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม

 

วิธีอ่านรายงานข้อมูลเครดิตบูโร

รายงานข้อมูลเครดิต

คือ รายงานข้อมูลเครดิต คือ ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการชำระหนี้ของลูกค้า ข้อมูลสินเชื่อ สถานะทุกบัญชีที่เจ้าของข้อมูลมีอยู่กับสถาบันการเงินทุกแห่งที่เป็นสมาชิกบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโรจะมีหน้าที่นำส่งข้อมูลสินเชื่อของลูกค้าแต่ละรายให้เครดิตบูโรเป็นรายเดือน ไปจนกว่าสินเชื่อนั้นจะได้รับการชำระเสร็จสิ้น และจะปรากฏในรายงานข้อมูลเครดิตเมื่อมีผู้ขอเรียกดูหรือสถาบันการเงินที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วน

1. ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงตัวตนลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เลขที่บัตรประชาชน และกรณีที่เป็นนิติบุคคล จะเป็น ชื่อ สถานที่ตั้ง เลขที่ทะเบียนนิติบุคคล เป็นต้น

2. ข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ และประวัติการชำระสินเชื่อ รวมทั้งสถานะบัญชีที่แสดงสถานะของบัญชีสินเชื่อแต่ละบัญชีที่แสดงในรายงานข้อมูลเครดิต เช่น สินเชื่อปกติ สินเชื่อที่ปิดบัญชีแล้ว สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน สินเชื่อที่อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น รายงานข้อมูลเครดิตเป็นการรายงานประวัติการชำระสินเชื่อตามข้อเท็จจริง กรณีที่ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ไม่ค้างชำระ รายงานก็จะแสดงว่าสถานะบัญชีเป็นปกติ ส่วนกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ รายงานก็จะแสดงข้อมูลว่าลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ไว้ในระบบข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิตเช่นกัน เครดิตบูโรขอเรียนว่าไม่มีการรายงานว่าลูกหนี้คนใดติด Blacklist

ข้อมูลเครดิตจะแสดงถึงประวัติการชำระหนี้ ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมและวินัยทางการเงินของเจ้าของข้อมูล และแสดงถึงความตั้งใจในการชำระหนี้และความน่าเชื่อถือ หรือที่เราเรียกกันว่า “เครดิต” ที่มีความสำคัญต่อการประกอบธุรกิจ โดยสถาบันการเงินจึงใช้ประโยชน์จากรายงานข้อมูลเครดิตเป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ร่วมกับปัจจัยอื่น ๆ ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เช่น ความสามารถในการหารายได้ ความเป็นไปได้ของธุรกิจ หลักประกัน เป็นต้น เครดิตบูโรไม่มีความเกี่ยวข้องหรือมีสิทธิอนุมัติ หรือร่วมตัดสินใจให้สินเชื่อกับใคร บุคคลใดกล่าวอ้างกับท่าน แจ้งเรื่องได้ที่ consumer@ncb.co.th

เช็กช่องทางการเครดิตบูโรเพิ่มเติม >>> http://bit.ly/2D5eZW3

วิธีการอ่านรายงานข้อมูลเครดิต

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

5 สัญญาณอันตรายที่บ่งบอกว่าคุณกำลังมีหนี้ท่วมหัว

สมัยนี้ถึงแม้เงินยังน้อย แต่ถ้าอยากได้บ้าน รถ เครื่องใช้ไฟฟ้า โทรศัพท์มือถือ ฯลฯ ก็แสนง่ายดาย แค่เซ็นกริ๊กเดียว รูดปรื๊ด ก็สามารถเป็นเจ้าของได้ด้วยเงินจากอนาคต ซึ่งแน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องเสียหาย ตราบใดที่คุณสามารถรับผิดชอบภาระหนี้สินที่ตามมาได้ แต่ถ้าคุณซื้อเพลินซะจนลืมเช็คสุขภาพทางการเงินของตัวเอง หนี้สินกองโตก็อาจกลายเป็นมะเร็งร้ายในชีวิตคุณได้เหมือนกัน วันนี้เราจะพาคุณมาตรวจเช็คสถานการณ์หนี้ของตัวเอง มาดูกันเถอะว่าคุณสมบัติเหล่าใช่ตัวคุณรึเปล่า

1. มากกว่า 45% ของรายได้ต้องเอาไปให้เจ้าหนี้
ลองนึกภาพดูสิ ว่าถ้าคุณต้องเอาเงินเดือน 45% หรือรายได้เกือบครึ่งไปประเคนให้เจ้าหนี้หมด แล้วสุขภาพทางการเงินของคุณจะเป็นยังไงในระยะยาว? เพราะนั่นหมายความว่าเกือบครึ่งของทรัพย์สินที่คุณมีอยู่ “ไม่ใช่ของคุณโดยแท้จริง” แต่เป็นทรัพย์สินที่ได้มาด้วยเงินของเจ้าหนี้ทั้งนั้น แล้วเป็นแบบนี้ต่อไปจะไหวหรอ? ถามใจตัวเองดู

2. คุณจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าคุณมีหนี้อยู่ทั้งหมดเท่าไร
ถ้าคุณคิดไม่ออก บอกไม่ถูก ว่าคุณมีหนี้สินติดพันอยู่ทั้งหมดเท่าไร ไม่ว่าจะเพราะจำนวนมันสูงจนนับไม่ถ้วน หรือคุณจงใจลืม ๆ มันไป ก็ล้วนส่อว่าหนี้ที่คุณมีมันเยอะเกินกว่าที่คุณจะรับผิดชอบได้แล้ว อาจทำให้คุณไม่ทันระวังตัว ยิ่งก่อหนี้มาพอกพูนขึ้นไปอีก แถมเวลาถึงกำหนดชำระก็ไม่ทันได้ตั้งตัวหรือวางแผนอะไรเลย

3. คุณเริ่มกู้ยืมเงินมาเพื่อใช้หนี้
หนึ่งในวิธีสุดคลาสสิคของคนรวยหนี้ ก็คือการกู้เงินจากแหล่งที่ (คุณคิดว่า) ประนีประนอมง่ายกว่ามาโปะหนี้ส่วนที่ต้องรีบจ่าย ฟังดูเหมือนง่าย แต่จริง ๆ แล้วเป็นแค่การหนีปัญหาเฉพาะหน้า หากเป็นแบบนี้หลายงวดเข้า บัญชีหนี้สินของคุณก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลงเลย แค่เปลี่ยนเจ้าหนี้ไปเรื่อย ๆ เท่านั้น

4. คุณเริ่มกังวลว่าคนที่บ้านจะเห็นใบแจ้งหนี้ของคุณ
เวลาไปรษณีย์มาที่บ้านทีไร คุณเป็นต้องรีบวิ่งไปโกยบรรดาใบแจ้งหนี้ของตัวเองไปซ่อนไว้ไม่ให้ครอบครัวเห็น แบบนี้ไม่ดีแน่ เพราะลึก ๆ แล้วแม้แต่ตัวคุณเองยังรู้เลยว่าหนี้สินขนาดนี้นับว่าไม่ธรรมดา ถ้าคนที่รักคุณมาเห็นเข้าต้องตำหนิและเป็นห่วงชีวิตคุณอย่างแน่นอน แล้วคุณจะไม่ตำหนิ ไม่ห่วงตัวเองหน่อยหรือ?

5. เวลามีเบอร์ไม่รู้จักโทรเข้ามา คุณจะวิตกก่อนเลยว่าเป็นการทวงหนี้
มีเบอร์แปลก ๆ โทรเข้ามาทีไร คุณเป็นต้องสะดุ้งทุกที ใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ว่าจะเป็นการโทรมาทวงหนี้รึเปล่า แปลว่าเจ้าหนี้ได้ประเมินแล้วว่าสถานการณ์ของคุณในตอนนี้มีโอกาสสูงที่จะจ่ายคืนไม่ไหว จึงต้องเข้ามาวนเวียนป้วนเปี้ยนในชีวิตประจำวันของคุณมากขึ้น แล้วแบบนี้ชีวิตจะมีความสุขได้ยังไง คุณจะทนใช้ชีวิตร้อน ๆ หนาว ๆ แบบนี้ไปจนถึงเมื่อไร?

เป็นยังไงกันบ้าง 5 ข้อนี้ตรงกับชีวิตคุณมากน้อยแค่ไหน ถ้าใช่ก็ห้ามนิ่งนอนใจ ถึงเวลาต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติการบริหารเงินของตัวเองซะใหม่ ก่อนที่หนี้สินจะรัดตัวซะจนหายใจไม่ออกนะจ๊ะ

4 เทคนิคการออมเงิน..ใช้จ่ายเป็น เงินเหลือเก็บ

เทคนิคการออมเงินง่ายๆ ที่ใครๆ ก็ทำได้ เพราะใครๆ ก็อยากมีเงินเยอะๆ แต่ก็ยังติดนิสัยจ่ายรัวๆ ไม่กลัวกระเป๋าแฟ่บ กว่าจะรู้ตัวกระเป๋าก็เบาโหวงกันทุกที วันนี้ National Credit Bureau มี เทคนิคการออมเงิน สุดเริ่ด และไม่ต้องประหยัดตลอดเวลา แค่ปรับนิดปรับหน่อย ก็ช่วยให้สุขภาพการเงินแข็งแรงขึ้นได้

4 เทคนิคการออมเงิน สุดเริ่ด

4 เทคนิคการออมเงิน สุดเริ่ด

1. ไม่ประมาทใช้จ่าย

เหตุผลหลักๆ ของเงินไม่พอใช้ หรือเงินไม่เหลือเก็บ ก็คือการประมาทใช้จ่าย ฟุ่มเฟือย และหมดไปกับการซื้อของจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ และยิ่งถ้าหากมีโปรโมชั่นสินค้า ลดราคาหรือมีของแจกของแถม พ่วงมาด้วยแล้วล่ะก็ยิ่งเป็นอันตรายต่อกระเป๋าสตางค์แน่นอน บางครั้งเราประมาท ไปคิดว่า “นิดเดียวหน่า” “นิดเดียวเอง” “ราคาไม่ได้แพงมาก” แต่ด้วยราคาไม่แพง เล็กๆ น้อยๆ แต่รวมๆ กันแล้วอาจจะกลายเป็นเงินก้อนใหญ่ก็ได้

วิธีแก้ไขง่ายๆ ก่อนอื่นก็รู้ตัวเองก่อนว่าเราเป็นคนที่ซื้อของจุกจิก มูลค่าไม่เยอะบ่อยๆ หรือ ซื้อของน้อยชิ้นแต่มูลค่ามาก จากนั้นก็ทำการแบ่งเงินไว้สำหรับชอปปิ้งในแต่ละเดือน เมื่อช้อปปิ้งถึงงบที่ตั้งไว้ก็ต้องหักห้ามใจ หยุดช้อปทันที สิ่งของอะไรที่มีอยู่แล้วก็ไม่ควรซื้อซ้ำ เพราะนอกจากจะเกินความจำเป็นแล้ว แล้วอาจหมดอายุก่อนจะได้ใช้ประโยชน์

2. ช้อปช่วง Sale ช่วยชีวิต

เทคนิคการออมสำหรับใครที่ชื่นชอบ และเสพย์ติดการช้อปเป็นชีวิตจิตใจ ในเมื่อเลิกช้อปไม่ได้ ก็หันมาช้อปช่วงเซลล์แทน เพราะแบรนด์ดังแต่ละแบรนด์ก็มักจะมีช่วงเวลานาทีทอง มาดูดเงินในกระเป๋าขาช้อปอยู่เรื่อยๆ ได้ของดี แบรนด์ ในราคาย่อมเยาว์ไว้ใช้ก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ แต่ก็อย่าลืมทำการบ้านสักนิดว่าแต่ละแบรนด์จัดโปรโมชั่น หรือเซลล์ ในช่วงไหน จะได้กันเงินไว้ช้อปได้ทัน

ทางที่ดีที่สุดคือ ตั้งสติไว้ ลดอาการเสพย์ติดช้อปปิ้ง คิดตรึกตรองให้ดี ว่าสิ่งที่เรากำลังอยากได้นั้น มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหน แล้ว “ฮึบ” ไว้ เก็บเงินใส่กระเป๋าตังค์ไว้ดีกว่า

3. บัญชีสำรองต้องมีไว้

เชื่อว่าทุกคนต้องบัญชีหลักไว้อย่างน้อย1บัญชีเพื่อรับเงินเดือนในแต่ละเดือน รู้ไหมว่านี่กับดักหลุมโต เพราะการมีบัญชีเดียวทำให้สามารถเข้าไปถอนหรือกดเงินจากบัญชีนั้นเมื่อไหร่ก็ได้ ผลที่ออกมาคือในบัญชีมีเท่าไหร่ก็ใช้หมดเกลี้ยง สุดท้ายสุขภาพการเงินก็ย่ำแย่เข้าขั้นวิกฤติ

ดังนั้นการมี 2 บัญชี สำหรับเงินเดือน 1 บัญชี และเงินออมสำรอง นี่เป็นอีกหนึ่ง เทคนิคการออมเงิน ที่ได้ผล เงินเดือนเข้าเมื่อไหร่ก็รีบทำการดึงไปฝากไว้อีกบัญชีและยิ่งเป็นบัญชีฝากประจำด้วยแล้วล่ะก็จะยิ่งช่วยให้การออมเงินสำเร็จได้แน่นอนเพราะไม่ว่าอยากจะถอนมากเท่าไหร่ ก็ถอนไม่ได้ สะสมเป็นเงินก้อนไว้ใช้จ่ายยามฉุกเฉินไม่ต้องเดือดร้อนไปพึ่งเงินกู้ให้เสียดอกเบี้ยยาวๆ

4. ฝากอัตโนมัติทางเลือกสายลืม

หลังจากมีบัญชีสำรองแล้ว สำหรับใครที่ใจไม่แข็งพอที่จะโอนเงินเข้าบัญชีสำรองทุกๆ เดือน แล้วล่ะก็ การให้ธนาคารผูกบัญชีโอนเงินฝากอัตโนมัติ ขั้นตอนก็ไม่ได้ยุ่งยากแค่เดินเข้าไปที่ธนาคาร และแจ้งต่อเจ้าหน้าที่ว่าต้องการให้ธนาคารโอนเงินจำนวนเท่าไหร่ไปยังบัญชีสำรองในแต่ละเดือน ก็ยิ่งทำให้การออมเป็นเรื่องง่าย ไม่ยุ่งยาก ไม่เสียเวลา และไม่ต้องกลัวลืม เพราะธนาคารจะจัดการทุกอย่างให้เสร็จสรรพเรียบร้อย

ในยุคโมบายนี้ยิ่งทำสะดวกมากขึ้น ด้วยแอพพลิเคชั่นของแต่ละธนาคาร ที่สามารถตั้งค่าให้เราโอนเงินเข้าไปยังบัญชีปลายทางได้อัตโนมัติทุกๆ เดือน โดยไม่ต้องไปธนาคารเองเลย ใครที่จะมีข้ออ้างว่าไม่มีเวลา หรือเดินทางลำบาก ขี้ลืม จนไปถึงขี้เกียจ ข้ออ้างนี้ใช้ไม่ได้แล้วนะ

เห็นไหมว่าการออมเงินให้เป็นไปด้วยความราบรื่นนั้นไม่ยาก แต่ต้องเริ่มด้วยวินัย และความตั้งใจจริงที่จะออมเงิน แล้วหา เทคนิคการออมเงินที่เหมาะสมของตัวเอง หรือตัดค่าใช้จ่ายบางอย่างที่ไม่เป็นประโยชน์ออกไป แค่นี้ก็มีเงินเหลือเก็บไว้ใช้จ่ายยามจำเป็น และที่สำคัญอย่าลืมหมั่นตรวจเช็คสุขภาพการเงินกับ เครดิตบูโร สม่ำเสมอ รับรองอนาคตมีเงินเหลือเก็บให้ใช้แบบรัวๆ แน่นอน แล้วอย่าลืมติดตามเรื่องราวดีๆ ด้านการเงินกับ National Credit Bureau บน Facebook @ilovebureau กันด้วยนะ

“มศว” จับมือ “เครดิตบูโร” ทำวิจัยเพื่อสาธารณะ

21 มีนาคม 2560 : มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว) และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) ร่วมจัด งาน “พิธีลงนามบันทึกความร่วมมือการจัดทำผลงานทางวิชาการเผยแพร่ต่อสาธารณะ” โดยความร่วมมือดังกล่าว มีวัตถุประสงค์เพื่อจัดทำบทความ บทวิเคราะห์ หรือบทวิจัย เกี่ยวกับการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนของประเทศไทยเพื่อเผยแพร่ต่อสาธารณะ

ผู้บริหารของทั้ง 2 หน่วยงาน ได้แก่ รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดี มศว และ นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร ร่วมในพิธีลงนามในบันทึกความร่วมมือดังกล่าว

รองศาสตราจารย์ ดร.สมชาย สันติวัฒนกุล อธิการบดี มศว กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ว่า จากฐานข้อมูลทางสถิติที่ เครดิตบูโรมีและให้ทาง มศว จะสามารถนำไปใช้ประโยชน์ในทางวิชาการเพื่อสร้างบทวิเคราะห์หรือบทวิจัยด้านการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชน ในการบริหารจัดการทรัพย์สิน หนี้สิน ตลอดจนการวางแผนการออมและการใช้จ่ายตนเองอย่างมีประสิทธิภาพ โดยสอดคล้องกับมาตรการส่งเสริมภายใต้แผนพัฒนาระบบสถาบันการเงินฉบับที่ 2 ซึ่งจะก่อให้เกิดประโยชน์อย่างแพร่หลาย ต่อสังคมไทยในปัจจุบัน ทั้งทางด้านวิชาการและด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง

ด้านนายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ เครดิตบูโร เปิดเผยว่า มศว มีเป้าหมายมุ่งพัฒนางานวิจัยที่มีคุณภาพโดยการสร้างความร่วมมือในระดับสากลและเครือข่ายทางวิชาการกับองค์กรอื่นๆ ที่นำมาสู่การแก้ปัญหาเพื่อสังคมอย่างยั่งยืน ในขณะที่ เครดิตบูโรมีฐานข้อมูลเชิงสถิติอันมีค่าและข้อมูลดังกล่าวก็ไม่มีส่วนหนึ่งส่วนใดที่กระทบกับสิทธิส่วนบุคคลตามที่กฎหมาย กำหนด การนำเอาข้อมูลเชิงสถิติดังกล่าวมาใช้ให้เป็นประโยชน์อย่างเต็มที่ต่อประเทศชาติ ผ่านความรู้ความสามารถของคณาจารย์ ตลอดจนนักวิจัยของ มศว จึงเป็นการตอบโจทย์ หรือสร้างฐานทางปัญญาในการแก้ไขปัญหาของประเทศในส่วนที่เกี่ยวข้อง และหวังว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะเป็นส่วนหนึ่งในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศไทยให้เติบโตอย่างมั่นคงในอนาคต

ระบบข้อมูลบุคคลธรรมดา

รายงานข้อมูลเครดิตบุคคลธรรมดา (Consumer Credit Report)

เป็นรายงานซึ่งแสดงข้อมูลภาพรวมด้านสินเชื่อทุกประเภทของบุคคลธรรมดา ที่มีต่อสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุน และสถาบันการเงินอื่น

รายงานข้อมูลเครดิตบุคคลธรรมดา (Consumer Credit Report) จะประกอบด้วยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงผู้ขอสินเชื่อ และคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ เช่น ชื่อ นามสกุล ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เลขที่บัตรประชาชน เป็นต้น และรายละเอียดประวัติการขอ การได้รับอนุมัติสินเชื่อ และการชำระสินเชื่อประเภทต่างๆ ของบุคคลนั้นทุกประเภท ได้แก่ สินเชื่อส่วนบุคคล สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อรถยนต์ เป็นต้น

ระบบรายงานข้อมูลเครดิตบุคคลธรรมดาของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ประมวลผลโดยใช้ซอฟแวร์มาตรฐานสากลจาก บริษัท TransUnion ซึ่งเป็นเครดิตบูโรชั้นนำผู้ให้บริการระบบข้อมูลเครดิตบุคคลธรรมดาที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

ระบบข้อมูลนิติบุคคล

รายงานข้อมูลเครดิตนิติบุคคล (Commercial Credit Report)

เป็นรายงานซึ่งแสดงข้อมูลภาพรวมด้านสินเชื่อทุกประเภทของนิติบุคคล และบุคคลธรรมดาที่ขอสินเชื่อเพื่อการพาณิชย์ ที่มีต่อสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกของบริษัท ข้อมูลเครดิตเครดิตแห่งชาติ เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุน และสถาบันการเงินอื่น

รายงานข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์ (Commercial Credit Report) จะประกอบด้วยข้อมูลที่บ่งชี้ถึงผู้ขอสินเชื่อ และคุณสมบัติของผู้ขอสินเชื่อ เช่น ชื่อ สถานที่ตั้ง เลขที่ทะเบียนการจัดตั้งนิติบุคคล หรือเลขประจำตัวผู้เสียภาษีอากร และรายละเอียดประวัติการขอ การได้รับอนุมัติสินเชื่อ และการชำระสินเชื่อประเภทต่างๆ ของนิติบุคคลนั้นทุกประเภท

ระบบรายงานข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์ของบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ ประมวลผลโดยใช้ซอฟแวร์มาตรฐานโลกจาก บริษัท Dun & Bradstreet ซึ่งเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเครดิตเชิงพาณิชย์ชั้นนำที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก

สายเปย์ไม่โอเค… ควบคุมการใช้จ่าย ก่อนหมดตัวนะคะซิส!

สายเปย์ คำฮิตยุค 4.0 ไม่ว่าจะไปทางไหนเป็นต้องได้ยินคำนี้เสมอ สงสัยกันไหม คำว่า สายเปย์ ที่จริงแล้วคืออะไร พฤติกรรมแบบไหนที่เข้าข่าย มนุษย์สายเปย์ และใครที่กำลังกลายเป็นมนุษย์สายเปย์ “ไม่” ควบคุมการใช้จ่าย แบบไม่รู้ตัว จนเงินหด หนี้เพิ่ม ไม่เหลือเก็บ กลายเป็นเศรษฐีต้นเดือน ยาจกสิ้นเดือน กันบ้าง

การทำตัวเป็นมนุษย์สายเปย์ถือเป็นเป็นปัจจัยอันดับต้นๆ ที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนหลายคนไม่มีเงินเก็บเหลือ หรือเงินไม่พอใช้เป็นต้องเดือนชนเดือนอยู่เสมอ มนุษย์สายเปย์เหล่านี้ มักมีนิสัยและพฤติกรรม หน้าใหญ่ ใจใหญ่  หรือเลี้ยงคนอื่นแบบจัดหนักจัดเต็ม รวมไปถึงการใช้เงินแบบจัดหนักจัดเต็มกับตัวเองด้วย

ยกตัวอย่างกันให้เห็นชัดๆ ก็คือ การทำตัวเป็นพ่อบุญทุ่มควักกระเป๋า ซื้อของราคาแพง ที่เกินความจำเป็นให้กับใครก็ตามหรือแม้แต่ให้ตัวเอง เช่นเลี้ยงข้าว เลี้ยงกาแฟเพื่อน ซื้อของแบรนด์เนมให้แฟน ซื้อรองเท้าแบรนด์เนมราคาแพงให้ตัวเอง ทั้งๆที่มีอยู่หลายคู่และไม่ค่อยจะได้ใช้เสียด้วย

พฤติกรรมควักกระเป๋า เปย์เพื่อน เปย์แฟน เปย์ตัวเองแบบไม่คิดหน้าคิดหลังในช่วงเงินเดือนออกนี่แหละเป็นตัวการสำคัญทำให้หลายคนกลายเป็นยาจกช่วงปลายเดือน นั่งเครียด นั่งกุมขยับกันเป็นแถบเพราะกังวลว่าจะไม่มีเงินใช้จนกว่าจะถึงวันเงินเดือนออก และเมื่อเงินไม่พอใช้ก็ไม่มีเงินเหลือให้เก็บแน่นอน ดังนั้น เรามายื่นใบลาออกจากการเป็นมนุษย์สายเปย์ กับยุทธการ ลด ละ เลิก แบบง่ายๆ กันดีกว่า

สายเปย์ ควบคุมการใช้จ่าย

4 วิธี ควบคุมการใช้จ่าย เพื่อลาออกจากมนุษย์สายเปย์

หน้าใหญ่ ใจใหญ่ ทำกระเป๋าพัง

บางครั้ง เราจำเป็นต้องลดนิสัย ใจอ่อน เจอลูกอ้อนขอให้เลี้ยงข้าว เลี้ยงกาแฟ ซื้อแบรนด์เนมลงบ้าง เพราะนิสัยหน้าใหญ่ ใจใหญ่ ปฎิเสธคนไม่เป็น เสียเงินเท่าไหร่ไม่ว่า เสียหน้าไม่ได้ นี่แหละตัวการอันดับ 1 ที่ทำให้คนกระเป๋าฉีกมานักต่อนัก ดังนั้นถ้าเป็นเรื่องเกินจำเป็น ปฎิเสธได้ก็ควรปฎิเสธ หรือถ้ากลัวแพ้ลูกอ้อนก็ลองเปลี่ยนวิถีชีวิตใหม่ คือ เลิกงานแล้วก็กลับบ้านซะเลย

หารได้ไม่น่าเกลียด

ไม่ว่าจะนัดทานข้าว ดื่มกาแฟ หรือปาร์ตี้แบบจัดหนัก ระลึกไว้เสมอว่า “เดี๋ยวเลี้ยงเอง” คำนี้คือคำต้องห้าม อย่าได้เอ่ยมันออกมาและอย่าอายที่จะเอ่ยปากแชร์ๆกันแบบแฟร์ๆ  รับรองไม่มีใครว่าคุณไม่มีใครว่าคุณแน่นอน

เก็บให้เก่งกว่าใช้

Back to basic วนลูปกลับมาที่เดิม เงินเดือนเมื่อไหร่ หักลบกลบหนี้เสร็จแล้ว ก็ดึงเงินออกมาสำหรับเก็บหรือโอนเข้าบัญชีฝากประจำปิดล็อกไปเลย เหลือเท่าไหร่ก็ใช้เท่านั้น หรือตั้งงบประมาณเป็นกองๆไปเลยว่า กองนี้ใช้สำหรับการเดินทาง กองนี้สำหรับใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน และกองนี้สำหรับใช้จ่ายจิปาถะหรือฟุ่มเฟือยกับของที่อยากได้

ใช้บัตรเครดิตให้เป็น Point ช่วยได้

ใครที่มีบัตรเครดิตอยู่กับตัว ถ้าใช้ดีดี ใช้ให้เป็นก็จะมีประโยชน์มาก เพราะแบรนด์แต่แบรนด์ รวมไปถึงร้านอาหารต่างๆมักมีโปรโมชั่น ลดราคา หรือแลก Point สะสมแต้มกับบัตรเครดิตอยู่แล้ว  ดังนั้นคราวหน้าเมื่อไปชอปปิงหรือทานข้าวนอกบ้านหรือดื่มกาแฟเจ้าดังอย่าลืมสังเกตโปรโมชั่นและส่วนลดกับบัตรเครดิตดู รับรองช่วยเชฟเงินในกระเป๋าได้เยอะ แต่อย่าเผลอรูดเพลินกับของที่อยากได้ จนยอดหนี้พุ่งไปเสียก่อน

เห็นไหมว่า มนุษย์สายเปย์ เป็นพฤติกรรมเกิดขึ้นได้กับทุกคน ในเมื่องดเปย์ไม่ได้ เราก็มาลดเปย์แบบมีสติ ควบคุมการใช้จ่าย เพื่อเป้าหมายสุขภาพทางการเงินที่แข็งแรงเวอร์กันดีกว่า

5 คำถามที่ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนตัดสินใจซื้อ

เมื่อคุณคิดจะซื้อของสักชิ้น ย่อมต้องใช้เวลาในการพิจารณาก่อนตัดสินใจ หากของชิ้นนั้นเป็นของจำเป็น ราคาไม่สูง หรือเป็นยี่ห้อที่คุณคุ้นเคย ก็อาจจะหยิบลงตะกร้าได้โดยไม่คิดอะไรมาก แต่หากของชิ้นนั้นราคาแพง แถมไม่ได้จำเป็นกับชีวิตสักเท่าไร คุณคงต้องคิดกลับไปกลับมาหลายตลบ ว่าจะคุ้มค่าไหมถ้าจะจ่ายเพื่อสนอง “ความอยาก” นั้น วันนี้เราจะพาคุณมาชอปปิ้งอย่างมีสติ เซฟสตางค์ ด้วย 5 คำถามง่ายๆ ควบคุมการใช้จ่าย ที่ควรถามตัวเองให้ดีก่อนตัดสินใจควักกระเป๋า

5 คำถามง่ายๆ ควบคุมการใช้จ่าย ก่อนควักกระเป๋าเพื่อช้อปปิ้ง

1. “ถ้าไม่มีป้าย Sale ฉันจะยังอยากได้ไหม?”

ป้าย Sale กับนักชอปเป็นของที่อยู่คู่กันมาช้านาน แต่ก่อนจะจ่าย ลองถามตัวเองดูสักนิดว่าถ้าไม่ใช่เพราะของชิ้นนั้นลดราคา คุณจะยังอยากได้มันไหม เช่น กระเป๋าสะพายที่ติดป้าย Sale จากราคา 1,000 บาท เหลือ 800 บาท ลองตอบตัวเองดูว่าถ้ากระเป๋าใบนั้นขายราคา 800 ตั้งแต่แรก จะนับว่าราคาคุ้มค่าไหม คุณจะยังอยากซื้อรึเปล่า

2. “ถ้าตัดป้ายยี่ห้อออก ฉันจะยังยอมจ่ายราคานี้รึเปล่า?”

หลายครั้งที่เราเผลอซื้อของราคาสูงลิบเกินตัว เพียงเพราะเห็นแก่ชื่อยี่ห้อ ทั้งที่ประโยชน์ใช้สอย ไม่คุ้มค่าคุ้มราคาเลย แต่เราก็ยังปลอบใจตัวเองว่าสมเหตุสมผลเพราะเป็นของแบรนด์เนม พฤติกรรมแบบนี้ค่อนข้างน่าห่วง สุ่มเสี่ยงสภาพการเงินในระยะยาวอย่างยิ่ง ก่อนซื้อลองหยุดถามตัวเองก่อน ว่าคุณอยากได้ของชิ้นนั้นจริง ๆ หรือแค่อยากได้โลโก้ของมันมาประดับตัวกันแน่

3. “ฉันจะได้ใช้มันจริง ๆ รึเปล่า?”

บางครั้งเราซื้อของไม่จำเป็นมากองไว้ที่บ้าน โดยคิดเอาเองว่า “ซื้อ ๆ ไปก่อน เดี๋ยวก็ได้ใช้” แล้วก็ลงเอยโดยการที่ของชิ้นนั้นนอนตายอยู่มุมตู้โดยแทบไม่ได้แตะเลย เงินก็เท่ากับละลายน้ำไปเปล่า ฉะนั้นก่อนซื้อ ตอบตัวเองให้ดีก่อนว่าคุณจะมีโอกาสได้ใช้มันมากแค่ไหน จะเอาไปใช้ในโอกาสอะไรได้บ้าง แล้วนอกจากคุณคนอื่นจะใช้มันได้รึเปล่า

4. “ราคานี้คิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้ของฉันกันนะ?”

ถ้าคุณซื้อของเพียงเพราะความอยาก โดยลืมคิดไปว่ามันเหมาะสมกับรายได้ของตัวเองแค่ไหน พอถึงปลายเดือนก็อาจต้องเสียใจทีหลัง เพื่อป้องกันสภาวะถังแตก คุณควรคำนวณก่อนคร่าว ๆ ก่อนตัดสินใจซื้อ ว่าราคาของสิ่งนั้นคิดเป็นกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนหรือรายได้ของคุณ เช่น ถ้าคุณมีรายได้เดือนละ 20,000 บาท คิดจะซื้อครีมทาผิวราคา 5,000 บาท คิดดูแล้วก็เท่ากับ 25% ของรายได้ หรือเท่ากับค่าแรง 1 สัปดาห์เต็ม ๆ รู้แบบนี้แล้วยังจะอยากได้อยู่รึเปล่า

5. “ถ้าฉันไม่ซื้อ เงินจำนวนนี้จะเอาไปใช้จ่ายสิ่งจำเป็นได้มากแค่ไหน?”

ก่อนควักเงินซื้อของฟุ่มเฟือย ลองหันกลับมาดูของที่จำเป็นกับชีวิตของคุณก่อน ว่าหากคุณเก็บเงินจำนวนนั้นเอาไว้ จะเอาไปจ่ายซื้อของจำเป็นได้มากน้อยแค่ไหน เช่นถ้าคุณคิดจะซื้อกางเกงยีนส์ตัวละ 3,000 บาท ลองคำนวณดูว่าเงิน 3,000 บาท หากนำไปจ่ายค่าบริการโทรศัพท์เดือนละ 299 บาท ก็สามารถจ่ายได้ถึง 10 เดือน จะว่าไปแล้วก็ไม่ใช่เงินน้อย ๆ เลย แล้วแบบนี้จะยังอยากซื้ออยู่ไหม

เพียงท่อง 5 ข้อนี้ไว้ในใจ แล้วหาคำตอบให้ตัวเองให้ได้ก่อนจะจ่ายเงิน คุณก็สามารถเป็นนักชอปรุ่นใหม่ที่ใช้จ่ายอย่างชาญฉลาดได้ รู้ทันตัวเองไว้ ไม่ตกหลุมพรางนักการตลาดอย่างแน่นอน

เรื่องน่าอ่าน