Blog Page 3

คอลัมน์เครดิตบูโรคิดเป็นเห็นต่าง : รายงานข้อมูลเครดิต คืออะไร : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ 6 ธันวาคม 2567

รายงานข้อมูลเครดิต คืออะไร

บทความวันนี้จะอธิบายถึงรายงานข้อมูลเครดิตกันนะครับ รายงานข้อมูลเครดิตก็คือ ข้อมูลเกี่ยวกับประวัติการชำระหนี้ของลูกค้า ข้อมูลสินเชื่อ สถานะทุกบัญชีที่เจ้าของข้อมูลมีอยู่กับสถาบันการเงินทุกแห่งที่เป็นสมาชิกบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกเครดิตบูโรจะมีหน้าที่นำส่งข้อมูลสินเชื่อของลูกค้าแต่ละรายให้เครดิตบูโรเป็นรายเดือน ไปจนกว่าสินเชื่อนั้นจะได้รับการชำระเสร็จสิ้น และจะปรากฏในรายงานข้อมูลเครดิตเมื่อมีผู้ขอเรียกดูหรือสถาบันการเงินที่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูล ประกอบด้วยข้อมูล 2 ส่วนครับ

1. ข้อมูลที่บ่งชี้ถึงตัวตนลูกค้า เช่น ชื่อ ที่อยู่ วันเดือนปีเกิด เลขที่บัตรประชาชน และกรณีที่เป็นนิติบุคคล จะเป็น ชื่อ สถานที่ตั้ง เลขที่ทะเบียนนิติบุคคล เป็นต้น

2. ข้อมูลเกี่ยวกับสินเชื่อที่ได้รับอนุมัติ และประวัติการชำระสินเชื่อ รวมทั้งสถานะบัญชีที่แสดงสถานะของบัญชีสินเชื่อแต่ละบัญชีที่แสดงในรายงานข้อมูลเครดิต เช่น สินเชื่อปกติ สินเชื่อที่ปิดบัญชีแล้ว สินเชื่อที่ค้างชำระเกิน 90 วัน สินเชื่อที่อยู่ในกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น

รายงานข้อมูลเครดิตเป็นการรายงานประวัติการชำระสินเชื่อตามข้อเท็จจริง กรณีที่ลูกหนี้ชำระหนี้ได้ ไม่ค้างชำระ รายงานก็จะแสดงว่าสถานะบัญชีเป็นปกติ ส่วนกรณีที่ลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ รายงานก็จะแสดงข้อมูลว่าลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้ไว้ในระบบข้อมูลของบริษัทข้อมูลเครดิตเช่นกัน ขอเรียนว่าไม่มีการรายงานว่าลูกหนี้คนใดติด Blacklist ครับ

ข้อมูลเครดิตจะแสดงถึงประวัติการชำระหนี้ ที่สะท้อนถึงพฤติกรรมและวินัยทางการเงินของเจ้าของข้อมูล และแสดงถึงความตั้งใจในการชำระหนี้และความน่าเชื่อถือ หรือที่เราเรียกกันว่า “เครดิต” ที่มีความสำคัญต่อการประกอบธุรกิจ โดยสถาบันการเงินจึงใช้ประโยชน์จากรายงานข้อมูลเครดิตเป็นปัจจัยหนึ่งที่ใช้ร่วมกับปัจจัยอื่นๆ ในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ เช่น ความสามารถในการหารายได้ ความเป็นไปได้ของธุรกิจ หลักประกัน เป็นต้น

เครดิตบูโรไม่มีความเกี่ยวข้องหรือมีสิทธิอนุมัติ หรือร่วมตัดสินใจให้สินเชื่อกับใคร บุคคลใดกล่าวอ้างกับท่าน แจ้งเรื่องได้ที่ consumer@ncb.co.th ศึกษารายละเอียดข้อมูลเครดิตบูโรเพิ่มเติมได้ที่ www.ncb.co.th

คอลัมน์เครดิตบูโรคิดเป็นเห็นต่าง : เครดิตบูโรคืออะไร ตั้งมาเพื่ออะไร : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ 22 พฤศจิกายน 2567

เครดิตบูโรคืออะไร ตั้งมาเพื่ออะไร

เครดิตบูโร คือองค์กรหนึ่งที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อจะรวมข้อมูลคนเป็นหนี้ ใครไปเป็นหนี้แบงก์ ใครไปเป็นหนี้นอน-แบงก์ จะมีองค์กรแบบนี้เป็นศูนย์กลางในการเก็บข้อมูลคนเป็นหนี้ ถ้าเปรียบเทียบ มันคือ “สมุดพกของคนเป็นหนี้” เหมือนว่าเราไปเรียนหนังสือที่มหาวิทยาลัยนั้นหรือที่โรงเรียนนั้น แล้วก็จะมีสมุดพกเพื่อรวบรวมว่าคนนี้มีผลการเรียนเป็นอย่างไร มันก็เหมือนกันกับว่า คนนี้มีหนี้ที่ไหนบ้าง แล้วปฏิบัติหนี้แต่ละก้อน แต่ละที่อย่างไร องค์กรนี้ในต่างประเทศและในประเทศไทย เรียกว่า “เครดิตบูโร” ครับ

หลายท่านคิดว่าสาเหตุที่สถาบันการเงินไม่ให้สินเชื่อ เพราะเครดิตบูโรขึ้น “บัญชีดำ” หรือที่ใคร ๆ เรียกกันทั่ว ๆ ไปว่า “ติด blacklist” ความจริงแล้วเป็นความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องครับ เพราะ “เครดิตบูโร” จะมีหน้าที่ในการจัดเก็บ รวมรวบข้อมูลสินเชื่อและประวัติการชะรำหนี้สินเชื่อ โดยสถาบันการเงินที่เป็นสมาชิกมีหน้าที่รายงานและส่งข้อมูลให้แก่เครดิตบูโรเป็นรายเดือนทุกเดือน ทางเครดิตบูโรก็จะอัปเดตข้อมูลให้ในแต่ละเดือนไปเรื่อย ๆ ทั้งหมด 36 เดือน จำนวน 36 บรรทัด เรียงทับกันเหมือน “ขนมชั้น” เมื่อมีข้อมูลใหม่เข้ามา ข้อมูลบรรทัดเก่าของเมื่อ 36 เดือนที่แล้วก็จะหายไป มิได้มีหน้าที่ขึ้น “บัญชีดำ” หรือ “Blacklist” อย่างที่เข้าใจกันครับ

เมื่อท่านขอกู้เงินหรือสินเชื่อแล้ว สถาบันการเงินไม่อนุมัติเงินกู้ อาจมาจากหลายสาเหตุ เช่น นโยบายการปล่อยสินเชื่อของสถาบันการเงินหรือผู้ประกอบการแต่ละแห่งที่แตกต่างกัน ภาระหนี้ที่มีอยู่และความสามารถในการชำระหนี้ของผู้ขอสินเชื่อ โอกาสในการผิดนัดชำระหนี้มากหรือน้อย เป็นต้น รวมทั้งข้อมูลที่ปรากฏในเครดิตบูโรไม่เป็นไปตามเงื่อนไขของสถาบันการเงินที่ขอกู้ ซึ่งอาจเป็นผลมาจากท่านมีประวัติการชำระหนี้ที่ไม่ดี หรือผิดนัดชำระหนี้กับสถาบันการเงินอื่นครับ

เครดิตบูโรไม่มีความเกี่ยวข้องหรือมีสิทธิอนุมัติ หรือร่วมตัดสินใจให้สินเชื่อกับใคร บุคคลใดกล่าวอ้างกับท่าน แจ้งเรื่องได้ที่ consumer@ncb.co.th ศึกษารายละเอียดข้อมูลเครดิตบูโรเพิ่มเติมได้ที่ www.ncb.co.th

ข่าวเครดิตบูโร 012/2567 : สัญญาณเศรษฐกิจเครดิตบูโร ณ ไตรมาส 3/2567

สัญญาณเศรษฐกิจเครดิตบูโร ณ ไตรมาส 3/2567

21 พฤศจิกายน 2567 : นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า รายงานภาระหนี้สินภาคครัวเรือนจากสถาบันการเงิน​ 157 แห่ง ที่เป็นสมาชิกของเครดิตบูโร​ ครอบคลุมประชาชนคนไทยและผู้มีถิ่นฐานในประเทศไทยที่มีหนี้สินกับสถาบันการเงินสมาชิก​ ซึ่งปัจจุบัน​ครอบคลุมประมาณกว่า​ 30 ล้านคนจากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนในไตรมาส​ 3 ปี​ 2567​ มีรายละเอียด ดังนี้

ภาพที่​ 1 หนี้ครัวเรือนในระบบเครดิตบูโร​อยู่ที่​ 13.6 ล้านล้านบาท (หนี้ครัวเรือนไทยทั้งหมด​ 16.3 ล้านล้านบาท) อัตราการเติบโต​ 0.5% YoY (Year on Year) ​ถ้าเป็น​ QoQ (Quarter on quarter) จะ -0.2% สรุปคือสินเชื่อไม่โต เศรษฐกิจ​ในไตรมาส​ 3 เติบโต​ 3% ในช่วง​ 9 เดือนโต​ 2.3% สินเชื่อธุรกิจคนตัวเล็ก​ -​4.6% YoY สินเชื่อเบิกเกินบัญชี​ -​4.5% YoY

ภาพที่​ 2 ระดับของหนี้เสีย หรือ​ NPL (Non-Performing Loan)  ก็เป็นไปตามคาดมาอยู่ที่ประมาณ​ 1.2 ล้านล้านบาท​ คิดเป็นสัดส่วน​ 8.8% ของ​หนี้รวม 13.6 ล้านlล้านบาท​ คือเส้นสีแดงที่พุ่งขึ้นมาชัดเจนตั้งแต่ไตรมาส​ 1 ปี​ 2566​ พักฐานไตรมาส​ 4 ปี 2566​ แล้วไปต่อตั้งแต่ปี​ 2567​ พร้อม ๆ กับมาตรการกลับไปสู่ความเป็นปกติ (normalize) เศรษฐกิจ​ค่อย ๆ โตกลับมาอย่างเชื่องช้า มีเรื่องการให้กู้อย่างรับผิดชอบ การแก้หนี้เรื้อรัง​ และแก้หนี้ครบวงจร​ ภาพของเส้นหนี้เสียวิ่งจาก​ 7.7% สู่​ 8.8%        

ภาพที่​ 3 หนี้​ NPL​ ประมาณ​ 1.2 ล้านล้านบาทโดยประมาณ​ เติบโต​ 14.1% YoY 3.4% QoQ ซึ่ง​ NPL สินเชื่อบ้านรถยนต์ บัตรเดรดิต และสินเชื่อส่วนบุคคลนิ่ง ๆ​ หรือโตไม่มากจากไตรมาสก่อน​ แต่ที่กังวลมากคือสินเชื่อธุรกิจคนตัวเล็กหรือ​ SMEs เติบโต​ 20%YoY​ 5.2%QoQ อันนี้คือประเด็นสำคัญ​มาก ๆ

ภาพที่​ 4 หนี้กำลังจะเสียหรือหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ หรือ SM​ ​(Special Mention) ยอดคงค้าง​ Q3​ ปี​ 2567 มาหยุดที่​ 4.8 แสนล้านบาทโดยประมาณ​ ลดลงมาทั้ง​ YoY และ QoQ​

2 ภาพสุดท้าย คือ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ที่มีปัญหา (Troubled Debt Restructuring: TDR) ซึ่งตัวเลขสะสมมาอยู่ที่ 1.03ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 7.6% ของ 13.6 ล้านล้านบาท เติบโต QoQ ติดลบประมาณ 3%

ในส่วนของ การปรับปรุงโครงสร้างหนี้เชิงป้องกันก่อนเป็นหนี้เสีย (Debt Restructuring : DR) ยอดสะสมตั้งแต่เมษายน 2567 มาหยุดที่ 1.2 ล้านบัญชี 6.45 แสนล้านบาท

ทั้งหมดคือข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น และหลายท่านจะได้นำไปประกอบการพิจารณากับมาตรการแก้หนี้บ้าน หนี้รถยนต์ หนี้ SMEs ที่กำลังจะประกาศความชัดเจนในเร็ววัน

คอลัมน์เครดิตบูโรคิดเป็นเห็นต่าง : เช็กสุขภาพการเงิน ตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป (ฟรี) ได้ที่ไหน : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ 8 พฤศจิกายน 2567

เช็กสุขภาพการเงิน ตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป (ฟรี) ได้ที่ไหน

บทความวันนี้ จะขอกล่าวถึงการพัฒนาและให้ความสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลเครดิตของตนเอง โดยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของข้อมูลในการตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิตได้อย่างรวดเร็ว หลากหลายช่องทางมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อเช็กสุขภาพการเงินของตนเอง และช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเครดิตของตนเองเพื่อให้รู้เท่าทันและป้องกันภัยไซเบอร์ทางการเงินในยุคปัจจุบัน

สำหรับเครดิตบูโรแบบสรุป (ฟรี) เป็นรายงานที่ประกอบด้วยข้อมูลจำนวนบัญชีสินเชื่อ ที่จะแสดงจำนวนบัญชีทั้งหมด บัญชีที่เปิดอยู่ บัญชีที่ปิดแล้ว วงเงินสินเชื่อรวม และยอดหนี้คงเหลือรวม  รวมทั้งจะมีประเภทบัญชีสินเชื่อ ได้แก่ บัตรเครดิต สินเชื่อบุคคล บ้าน เช่าซื้อ อื่น ๆ และยอดหนี้คงเหลือแต่ละประเภทบัญชีอีกด้วย  ทั้งนี้ รายงานข้อมูลเครดิตแบบสรุป เป็นข้อมูลเบื้องต้นสำหรับเจ้าของข้อมูล เพื่อตรวจสอบจำนวนบัญชีสินเชื่อ และยอดหนี้ที่ถูกจัดเก็บไว้ในเครดิตบูโรเท่านั้น ไม่สามารถนำไปอ้างอิงต่อบุคคลใดได้  มีช่องทางตรวจ ได้แก่

  1. โมบายแอป “ทางรัฐ” เลือกเมนู “เครดิตบูโร” เป็นบริการออนไลน์ภาครัฐ โดยสำนักงานพัฒนารัฐบาลดิจิทัล (องค์การมหาชน) หรือ สพร.
  2. ที่ทำการไปรษณีย์ และเคาน์เตอร์บริการไปรษณีย์ ทุกแห่งทั่วประเทศ โดยแจ้งเจ้าหน้าที่เคาน์เตอร์บริการ ขอตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป ยื่นบัตรประชาชนของตนเองและรอรับได้เลย
  3. ตู้ตรวจเครดิตบูโรด้วยตนเอง (ตู้คีออส) ใช้บัตรประชาชนของตนเอง เลือกบริการตรวจเครดิตบูโรแบบสรุป ได้ที่ 1) ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร อาคาร เดอะไนน์ ทาวเวอร์ส แกรนด์ พระรามเก้า ชั้น 2 (โซนพลาซา)(อยู่ใกล้สถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน MRT พระราม 9 และอยู่ด้านหลังห้างเซ็นทรัล พระราม 9)  2)เครดิตบูโรคาเฟ่ อาคารเพิร์ล แบงก์ค็อก ชั้น 3 (BTS สถานีอารีย์ ทางออก 1) 3) ศูนย์ตรวจเครดิตบูโร ห้างเจ-เวนิว (นวนคร) ชั้น 1  4) สถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ (สถานีกลางบางซื่อ) (ด้านหลังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์ ประตูทางเข้า 1 จุดติดตั้งนาฬิกาประจำสถานี หรือนาฬิกาหน้าปัดหมายเลข ๙) 5) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร (สำนักงานใหญ่) อาคารเคเคพีทาวเวอร์ ชั้น 1 ใกล้ประตูทางเข้าอาคาร 6) อาคารสาธรนครทาวเวอร์ ชั้น 1 โซนตู้เอทีเอ็ม (BTS ช่องนนทรี ทางออก2) 7) ศูนย์การเรียนรู้ธนาคารแห่งประเทศไทย (อาคาร A) ชั้น 2 โถงต้อนรับเยื้องจุดสอบถาม

การยื่นขอตรวจข้อมูลเครดิตของตนเองเป็นสิทธิพื้นฐานในการเข้าถึงข้อมูลเครดิต เจ้าของข้อมูลยื่นขอตรวจข้อมูลเครดิตของตนเอง ผ่านช่องทางที่เครดิตบูโรให้บริการนั้น จะตรวจเครดิตบูโรกี่ครั้งก็ไม่มีผลต่อการพิจารณาขอสินเชื่อของธนาคารหรือสถาบันการเงินแต่อย่างใด

เครดิตบูโรรณรงค์สร้างวัฒนธรรม “ออมก่อนกู้ คิดก่อนใช้ มีวินัย เมื่อมีหนี้” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีการวางแผนการเงิน พร้อมมีวินัยในการออมเงินและรักษาเครดิตของตนเอง เป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักในเรื่องภาระหนี้ การบริหารจัดการหนี้ การมีวินัย ใช้หนี้ครบใช้หนี้ตรงตามเวลา เพราะอยากเห็นคนไทยมีวินัยทางการเงินเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น

 

ข่าวเครดิตบูโร 011/2567 : สรุปตัวเลขสิ้นสุดเดือน​สิงหาคม 2567 จากข้อมูลสถิติของเครดิตบูโร

สรุปตัวเลขสิ้นสุดเดือน​สิงหาคม 2567 จากข้อมูลสถิติของเครดิตบูโร

19 ตุลาคม 2567  :  นายสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) เปิดเผยว่า สรุปตัวเลขสิ้นสุดเดือน​สิงหาคม 2567​ ซึ่งขอเน้นว่ายังไม่เห็นหรือรวมผลกระทบจากการที่เกิดน้ำท่วมในบางพื้นที่​  โดยตัวเลขที่น่าสนใจจะเป็นตัวเลขสิ้นสุดไตรมาส​ 3 เดือนกันยายน​ 2567​ ซึ่งจะออกมาในช่วงสิ้นเดือนพฤศจิ​กายน​ 2567 นี้ จากภาพที่แสดง​ 6 ภาพมีความหมายดังนี้

1.จากฐานข้อมูล​สถิติที่ไม่มีตัวตนของเครดิตบูโร​ครอบคลุมหนี้สินรายย่อยของประชาชนที่ไม่รวมลูกหนี้นิติบุคคลนั้นซึ่งรวบรวมจากสถาบันการเงิน​สมาชิกเครดิตบูโร​กว่า​ 158 แห่ง พบว่า​มียอดสินเชื่อ​ 13.63 ล้านล้านบาท​ มีการเติบโตเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงเวลาเดียวกัน (Year on Year : YoY) เท่ากับ 0.8% และ เปรียบเทียบระหว่างเดือนที่ผ่านมา (Month on Month : MoM) เท่ากับ 0.0% คือ แทบไม่มีการเติบโต​

2.หนี้เสียหรือ​ NPL มาหยุดอยู่ที่​ 1.18 ล้านล้านบาทเคลื่อนที่ช้า ๆ ไปสู่จุด​ 1.2 ล้านล้านบาทตามที่คาดการณ์​ไว้เมื่อต้นปี​ 2567 คิดเป็นอัตราส่วน​ 8.7% ของยอดสินเชื่อรวม​ แน่นอนว่าหนี้เสียก้อนนี้ที่ค้างเกิน​ 90 วัน​ กำลังรอมาตรการแก้ไขแบบเข้มข้น มีแรงจูงใจสูงทั้งเจ้าหนี้​ ลูกหนี้​ ให้เข้ามาตกลงกัน​ ภายใต้กติกาที่ผู้กำกับดูแลน่าจะได้ขยับเข้ามากระชับพื้นที่

3.หนี้กำลังจะเสียหรือหนี้ที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ หรือ SM เดือนสิงหาคม​ 2567 ในระบบของเครดิตบูโร​มาหยุดอยู่ที่​ 6.4 แสนล้านบาทคิดเป็น​ 4.7% นิ่ง ๆ​ มาตรการปรับโครงสร้างหนี้เชิงป้องกัน หรือ​การปรับปรุงโครงสร้างหนี้ (Debt Restructuring : DR) ที่เริ่มให้มีการบันทึกข้อมูล​ในระบบเครดิตบูโรตั้งแต่เดือนเมษายน​ 2567​ ตอนนี้มียอดสะสมจนถึงเดือนสิงหาคม​ 2567​ คิดเป็น​จำนวน​ 1 ล้านบัญชีเศษ​ ไม่ทราบว่าทำกันมากน้อยเพียงใด เพราะไม่มีตัวเลขเปรียบเทียบก่อนหน้าเดือนเมษายน​ 2567 เนื่องจากไม่ได้รับอนุญาต​ให้เก็บข้อมูล​นี้ จำนวนเงินที่ทำ​ DR​ สะสมจนถึงตอนนี้​ 5.4 แสนล้านบาท​ มาตรการนี้เป็นเหมือนฝายทดน้ำไม่ให้ SM ไหลไปเป็น​ NPLs เพราะตามเกณฑ์​การให้สินเชื่อที่รับผิดชอบ​ เจ้าหนี้ต้องยื่นข้อเสนอให้ลูกหนี้ถ้าเห็นว่าลูกหนี้จะผ่อนตามเงื่อนไขเดิมไม่ไหว​ กล่าวคือปรับโครงสร้างหนี้ก่อนที่จะค้างเกิน​ 90 วัน​ ที่กำลังมีจำนวนทวีเพิ่มคือ​ ลูกหนี้เริ่มร้องมาที่เครดิตบูโร​ว่า​ “พอเขาไปทำ​ DR มันกลายเป็นเหตุทำให้เขาขอสินเชื่อไม่ได้​ ถูกปฏิเสธ​ หรือบางลูกหนี้บอกว่าเขายอมเข้าโครงการ​ DR เพราะนึกว่าวันไม่ใช่การปรับโครงสร้างหนี้ที่จะมีการใส่รหัสไว้ในรายงานเครดิตบูโร​ บางรายก็บอกว่าข้อเสนอเจ้าหนี้ที่ให้ทำ​ DR ไม่พูดชัดว่าถ้าทำแล้วอาจจะได้รับผลกระทบอะไรบ้าง กล่าวสรุปคือบอกว่า​ รู้ว่าจะโดนปฏิเส​ธสินเชื่อก็อาจจะไม่เข้าโครงการ​ DR ที่ออกกติกา”​ เป้าตัวเลขที่อยากได้​จากสถาบันการเงินเจ้าหนี้ กับปริมาณ​คำร้องที่เริ่มทวีมากขึ้น​ ต้องได้รับการรับรอง หากเอาใจลูกหนี้มากก็จะเละ​ ถ้าไม่ชัดกับเจ้าหนี้ก็ละล้าละลัง​กันไปทั้งขบวน สถานการณ์​แบบ “กลับก็ไม่ได้​ ไปก็ไม่ถึง”

4.สำหรับ 3 ภาพต่อมา คือ ข้อมูล​บางส่วนที่ท่านเลขา​คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ได้นำออกมาแถลงชี้แจงผลการตัดสินใจลดดอกเบี้ยนโยบายของ​ กนง.​ กล่าวคือท่านผู้อ่านจะเห็นการเติบโตของสินเชื่อทุกประเภทที่แสดงนั้นเติบโตในอัตราลดลง​ โดยเฉพาะเส้นสีฟ้าคือสินเชื่อ​ SME ​ติดลบ​ 3.3% ขณะที่​ NPLs​ ของสถาบันการเงิน (ดูคำนิยามให้ครบ)​ โดยเฉพาะ​ SMEs ​ไปถึง​ 9.1% (ดูคำนิยาม​ SME​s) ต่อด้วยสรุปประเด็นสำคัญจากการตัดสินใจของ กนง. ว่าเหตุปัจจัยที่ออกมา 5:2​ ให้ลดดอกเบี้ยนโยบายนั้นคืออะไร มีข้อมูล​เพิ่มเติมเล็ก ๆ คือบัญชีสินเชื่อที่ถือว่าเป็นหนี้เรื้อรังที่ควรต้องได้รับการแก้ไข ​(Severe PD) ได้รับข้อเสนอจากเจ้าหนี้ให้เข้าโครงการแก้ไข​ และลูกหนี้ตอบรับการเข้ากระบวนการแก้ไขมีจำนวน​เพียง 5.3 พันบัญชีจากจำนวน​ 5 แสนบัญชีที่เข้าข่ายหนี้เรื้อรัง (ข้อมูล​ตามการแถลง) ​คิดเป็นเงินที่เก็บข้อมูล​ได้​ว่าเข้าโครงการปิดจบใน​ 5 ปีที่ดอกเบี้ยไม่เกิน 15% มีจำนวน 247 ล้านบาทจากยอดที่เข้าข่ายเป็นหนี้เรื้อรัง​ทั้งหมดประมาณ​ 9.7 หมื่นล้านบาท (ข้อมูล​ตามการแถลงเช่นกัน)

คอลัมน์เครดิตบูโรคิดเป็นเห็นต่าง : ข้อมูลเครดิตสำคัญอย่างไร : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ 25 ตุลาคม 2567

ข้อมูลเครดิตสำคัญอย่างไร

บทความวันนี้ ผมขอกล่าวถึงความสำคัญของข้อมูลเครดิต โดย บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) จะเปรียบเสมือนเป็น “ถังข้อมูลที่บ่งบอกพฤติกรรมในเรื่องการก่อหนี้ การชำระหนี้” ที่ใหญ่ที่สุดของระบบการเงินไทย หากใครก็ตามที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกรรมสินเชื่อในระบบ ก็สามารถขอตรวจสอบข้อมูลเครดิตเหล่านี้ได้จากเครดิตบูโรครับ

เครดิตบูโรนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของโครงสร้างพื้นฐานทางการเงินของประเทศ และมีความสำคัญต่อระบบเศรษฐกิจไทย ทั้งสามภาคส่วน ดังนี้ครับ

1.ระบบเศรษฐกิจไทย

– เป็นสัญญาณเตือนภัยของระบบการเงิน คือ สามารถนำเอาข้อมูลเชิงสถิติมาวิเคราะห์ให้เห็นทิศทางและความเสี่ยงของธุรกรรมสินเชื่อในระบบ – เป็นเครื่องมือในการอ่านสัญญาณเศรษฐกิจของสถาบันต่างๆ เพื่อไปคิดต่อว่าควรต้องออกมาตรการหรือต้องไปทำอะไรในเชิงการบริหารความเสี่ยง

 – เป็น “โครงสร้างพื้นฐาน” ของระบบการเงิน คือ เป็นแหล่งข้อมูลที่เชื่อถือได้ของระบบสถาบันการเงินในการนำมาใช้บริหารความเสี่ยงด้านการให้สินเชื่อ

“ป้องกันการเกิดความล่มสลายอย่างที่เกิดมาในอดีต หากระบบทุกส่วนตรงนี้ดีมีประสิทธิภาพ เชื่อว่าระบบการเงินจะไม่มีปัญหารุนแรงถึงขั้นต้องไปยุ่งกับการค้ำประกันเงินฝาก เพราะปัญหาจะถูกจัดการตั้งแต่ต้นมือ อีกทั้งก่อนที่เหตุการณ์ต่างๆ จะไปถึงจุดนั้น ต้องผ่านระบบการบริหารความเสี่ยงของสถาบันการเงินที่เข้มงวดเป็นอย่างมาก”

2.สถาบันการเงินในฐานะผู้ให้กู้หรือเจ้าหนี้

– มีระบบการบริหารความเสี่ยงในการให้กู้ยืม ป้องกันการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ซึ่งอาจส่งผลต่อปัญหาความไม่มั่นคงแก่ระบบสถาบันการเงิน และระบบเศรษฐกิจไทยโดยรวม ผ่านการใช้ข้อมูลเครดิตบูโรง

– ตรวจเช็กอาการของลูกหนี้ เพื่อวิเคราะห์หรือทบทวนสินเชื่อ จึงจำเป็นต้องทราบฐานะทางการเงินและประวัติการชำระหนี้ของผู้กู้อย่างเพียงพอ ว่ามีประวัติการชำระหนี้อย่างไร และมีภาระหนี้อยู่กับสถาบันการเงินอื่นมากน้อยเพียงใดในขณะใดขณะหนึ่ง

3.ผู้กู้หรือลูกหนี้

– ตรวจเช็กข้อมูลเครดิต หรือตรวจเช็คสุขภาพทางการเงินของตัวเอง เพื่อเตรียมพร้อมวางแผนก่อนจะไปขอกู้

– ตรวจเช็กประวัติการชำระทุกข้อมูลบัญชีสินเชื่อ หากข้อมูลไม่ถูกต้อง ขอแก้ไขได้

– มีโอกาสที่จะได้ลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้ผู้กู้ที่มีประวัติผ่อนชำระดี

ศึกษารายละเอียดหรือข้อมูลเครดิตบูโรได้ที่ www.ncb.co.th

เรื่องน่าอ่าน