Blog Page 71

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : ข้อคิดจากเพื่อนเก่าคนเคยผ่านปี 2540 และแนวทางของคนรุ่นต่อไป : วันจันทร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ 2564

ข้อคิดจากเพื่อนเก่าคนเคยผ่านปี 2540 และแนวทางของคนรุ่นต่อไป
บทความวันนี้ เกิดขึ้นจากความพยามที่จะค้นหาหนทางให้กำลังใจกันและกันของผู้คนที่เริ่มมีอายุมาก (เกินกว่า 50 ปี) แน่นอนว่าคนในวัยนี้ต้องผ่านประสบการณ์ปี 2540 ปีแห่งการเริ่มวิกฤตการณ์​ทางเศรษฐกิจ​ สถาบันการเงิน​ และนำไปสู่ปัญหาสังคมในเรื่องความมั่นคงในการดำรงชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน​ จนมีใครหลายคนระลึกถึงในช่วงปีเผาจริง-เผาหลอก​ (2542-2543) ว่าในเวลานั้น​ 2 สิ่งที่ต้องจัดหาก็คือ “อาวุธปืนกับตู้เซฟ” สภาพของการล้มลงของกิจการ การหาสินเชื่อมาเป็นเงินหมุนเวียนกิจการได้ยากมาก ๆ การหยุดและเลิกกิจการ การเลิกจ้างและการว่างงาน การกลับคืนถิ่นในต่างจังหวัดโดยอิงกับรากฐานชีวิตเดิมคือเกษตรกรรม การเปิดท้ายขายของด้วยการเอาสิ่งที่ไม่จำเป็น เกินการดำรงชีวิต​เอาออกมาขายเพื่อเก็บเป็นเงิน​สด​ ตามสถานที่ต่าง ๆ ของคนเมือง ในตอนนั้นเรามีคนเคยรวย คนที่กินหูฉลามทุกวันจนครีบจะขึ้น​ มีงานฉลองหุ้นขึ้น ขายที่ดินได้ กำไรจากการขายใบจองหุ้น IPO แต่ในท้ายที่สุดหลายคนหลายท่านก็ค้นพบความจริงว่า หลังปี 2540 ในปี​ 2542 ข้าวต้มร้อน ๆ ผัดผักบุ้งหนึ่งจาน ถั่วลิสงทอดจากฝีมือคู่สมรส ในมื้ออาหารกับคนในครอบครัวคือสิ่งสามัญที่ดีที่สุด ธรรมดาที่สุดแต่มีความสุขที่สุด ใครที่ไม่รอดจากคลื่นวิกฤติระลอกนั้นก็ต้องล้มละลาย ขายทรัพย์แลกหนี้ ครอบครัวบางแห่งต้องแยกกันไป สามีหนีหนี้ ภรรยาพาลูกไปเลี้ยงดูที่บ้านญาติ ต้องก้มหน้ากับการดูหมิ่นเพราะหมดทางต้องไปเกาะชายคาคนอื่น บ้างก็ทุกข์จนโรคภัยมาพรากไป ท่านผู้อ่านเชื่อไหมว่าคนรุ่นราวคราวเดียวกับผู้เขียนบางคนก็รับสภาพตัวเองไม่ได้ปลีกหน้าจาก​เพื่อนฝูง​ ไม่มางานเลี้ยงรุ่นโรงเรียนอีกเลยจนถึงวันนี้ 
หลายท่านในวันนี้ได้กลายเป็นผู้บริหารองค์กร เป็นผู้คุ้มกฎกติกา เป็นคนคิดคนสร้างนโยบาย เป็นคนขับเคลื่อนมาตรการ ผู้เขียนได้แต่รำพึงรำพันในป่าช้าว่า คนรุ่นเราที่บอกกับตัวเองว่าผ่านสงครามเศรษฐกิจวิกฤติ​เศรษฐกิจ น้ำท่วมใหญ่ Global Financial Crisis การขัดแย้งทางการเมืองชนิดเผาบ้านเผาเมือง วิกฤตินโยบายประชานิยม รัฐประหาร จนมาถึงการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในปัจจุบั​น​ คนรุ่นเรานี้ “เรากำลังทำอะไรอยู่ เราจะส่งมอบสิ่งดี ๆ ต่อให้กับลูกหลาน หรือเรากำลังส่งระบบนิเวศที่เสียหาย ทรุดโทรม​ ไม่มีประสิทธิภาพ​ วัฒนธรรมแบบ NATO : No Action Talk Only หรือแม้กระทั่ง​ โกงให้ได้ ถ้าอายก็อด ให้คนรุ่นถัดไป คิดเหรอว่าคนรุ่นถัดไปเขาจะไม่รู้เท่าทันว่า คนรุ่นที่กำลังดูแลสังคม เศรษฐกิจ​ การค้าขายในวันนี้กำลังทำอะไรกับอนาคตของพวกเขา คำถามที่รอคำตอบในรูปการกระทำ กิจกรรมที่ต้อง​ทำ​ มันได้ออกมาอย่างเพียงพอเหมาะสมแล้วหรือไม่ 
เพื่อนโรงเรียนเก่าระดับมัธยมของผู้เขียนที่ปลีกวิเวกจากการเป็นมนุษย์ทองคำไปอยู่แถวดอยอินทนนท์ สร้างโรงบดกาแฟ โรงสีข้าว ทำนาข้าวแบบลงไปดำไปหว่านไปเกี่ยวกับชาวบ้าน ตามแนวทางในหลวงรัชกาลที่ 9 บอกกับผู้เขียนว่ายามนี้… มีเหลือให้แบ่งปัน…ขัดสนให้อดทน…ทุกข์สอนให้เรารู้จริงแท้ในสรรพสิ่งหาใช่สุขไม่…อายุมากขึ้นจึงรู้ว่า สังขารคือทุกข์กองโต ที่เราหลงแบกไว้มานาน…กินอิ่ม นอนหลับ ขับถ่ายสบาย เท่านี้ก็พอ
อีกคนหนึ่งทำธุรกิจร้านอาหารในซอยทองหล่อ ได้บอกกับผู้เขียนว่า… ทุกวงการและทุกธุรกิจในเวลานี้ 
ต้องหนีตาย
ไม่ก็ยืนตาย 
หรืออยู่กับความตาย 
สุดท้ายต้องช่วยกันเอง ต้องช่วย ต้องให้กันและกัน (เจ้าของ-ลูกจ้าง)​ จนลมหายใจสุดท้ายของทุกคน นอกจากนี้ เขาในฐานะเจ้าของ​กิจการ​ เป็น​ SME​ ได้ฝากข้อความถึงเพื่อน ๆ ที่พอมี และมีพอแบ่งปัน เสื้อผ้าที่เลิกใช้ของตัวเองและครอบครัวแล้ว เขาขอรับบริจาคเพื่อให้น้อง ๆ ลูกจ้างของพวกเขาได้นำไปใช้ต่อหรือนำไปขายหาเงินได้ต่อชีวิตได้ช่วงนี้อีกทางหนึ่ง
ผู้เขียนขอจบด้วยข้อคิด ความเห็น​ แนวทางของคนรุ่นต่อไป คนเก่ง​ ฉลาด​ มีความคิดความอ่านที่ก้าวหน้า จากงานของหนังสือพิมพ์​ Post Today ได้แก่​ ดร.ณภัทร จาตุศรีพิทักษ์ ที่ได้กล่าวถึงสิ่งที่เราควรจะทำ และต้องทำ เพื่อเผชิญกับอนาคตที่ผกผัน ไร้รูปแบบให้จับทาง เปลี่ยนแปลง​เร็ว​ คาดเดาไม่ได้ และมีความรุนแรงทั้งทางบวกและลบดังปรากฏในภาพว่า
ขอบคุณที่ให้ความสนใจติดตามครับ

คอลัมน์ เครดิตบูโรคิดเป็นเห็นต่าง : ระยะเวลาและรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลในเครดิตบูโร : หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ 5 กุมภาพันธ์ 2564

ระยะเวลาและรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลในเครดิตบูโร

ในบทความนี้ผมขอนำเสนอข้อมูลแก่ท่านเรื่อง ระยะเวลาและรูปแบบการจัดเก็บข้อมูลในเครดิตบูโร ซึ่งเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวของท่านที่มีบัญชีสินเชื่อไม่ว่าจะเป็นสินเชื่อบ้าน สินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อเช่าซื้อ หรือสินเชื่อส่วนบุคคล เพราะมีความเข้าใจผิดเป็นอย่างมากในหลายเรื่องดังต่อไปนี้

ความเชื่อที่ผิด : หากเมื่อไหร่ที่ผิดนัดชำระหนี้แล้วชื่อของเราจะเข้าไปอยู่ในเครดิตบูโร

สิ่งที่ถูกต้อง : ไม่ว่าจะเป็นการชำระตรงตามเวลา หรือมีการผิดนัดชำระ สถาบันการเงินจะส่งข้อมูลตามจริงที่เกิดขึ้นเข้ามาให้กับเครดิตบูโร การส่งข้อมูลตามจริงของสมาชิกจะเป็นการส่งข้อมูลรายเดือน ส่งข้อมูลเดือนละหนึ่งครั้ง

ความเชื่อที่ผิด : ข้อมูลเดือนใหม่ล่าสุดจะเข้าไปทับข้อมูลเดือนที่ผ่านมาก่อนหน้า เช่น ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จะไปทับข้อมูลเดือนมกราคม 2564 ดังนั้นถ้าเราค้างชำระเดือนมกราคม 2564 หากไปจ่ายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ข้อมูลจะไปทับของเดิม จะไม่มีใครเห็นข้อมูลเดือนมกราคม 2564 อีกต่อไป

สิ่งที่ถูกต้อง : ข้อมูลเดือนใหม่ล่าสุดจะไม่เข้าไปทับข้อมูลเดือนที่ผ่านมาก่อนหน้า เช่น ข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2564 จะไม่ไปทับข้อมูลเดือนมกราคม 2564 ดังนั้น ถ้าเราค้างชำระเดือนมกราคม 2564  หากไปจ่ายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ข้อมูลจะมีสองบรรทัด คือ บรรทัดที่อยู่ด้านล่างหรือบรรทัดที่หนึ่งจะเป็นข้อมูลเดือนมกราคม 2564 ที่มีข้อมูลปรากฏว่า ค้างชำระ ข้อมูลบรรทัดบนหรือบรรทัดที่สองจะเป็นข้อมูลเดือนกุมภาพันธ์ 2564 ที่มีข้อมูลปรากฏว่า ไม่ค้างชำระ คนที่ทำหน้าที่วิเคราะห์สินเชื่อจะเห็นข้อมูลเป็นประวัติคือเห็นทั้งสองบรรทัด สองเดือนทั้งที่ค้างชำระและไม่ค้างชำระ เขาจะอ่านข้อมูลได้ว่าเจ้าของข้อมูลรายนี้ค้างชำระเดือนมกราคม 2564 ต่อมาได้มาจ่ายเดือนกุมภาพันธ์ 2564 เขาจะถามต่อว่าเหตุที่ทำให้ค้างในเดือนมกราคม 2564 นั้นคืออะไร มาจากสาเหตุอะไร

ตามกฎหมายกำหนดว่า ระยะเวลาจัดเก็บไม่เกิน 3 ปีนับแต่ข้อมูลนั้นสมาชิกได้ส่งเข้ามาให้กับเครดิตบูโร เช่น สถาบันการเงินส่งข้อมูลเข้ามา 30 มกราคม 2564 ข้อมูลบรรทัดนี้จะออกจากฐานในวันที่ 30 มกราคม 2567 เป็นต้น

คำถามคือ ทำไมต้องเก็บข้อมูลเป็นรายเดือน ไม่ทับกัน เก็บต่อเนื่องเป็นขนมชั้น 36 ชั้นหรือ 36 เดือน หรือ 3 ปี เหตุผลที่เก็บเพื่อให้คนที่วิเคราะห์สินเชื่อเห็นข้อมูลในช่วงเวลาหนึ่งที่ไม่เกิน 3 ปี เขาก็จะวิเคราะห์ได้ว่าคนนี้มีพฤติกรรม นิสัยใจคอ ในการชำระหนี้อย่างไร จ่ายครบจ่ายตรงใช่ไหม มีการค้างชำระหรือไม่เดือนไหน เกิดการค้างชำระนานแล้วหรือเพิ่งเกิดขึ้น เกิดบ่อยหรือไม่หรือเกิดเพียงครั้งเดียว พอมีการค้างชำระแล้วเดือนต่อมามีการนำเงินมาจ่ายจนทำให้เป็นปกติหรือไม่ ท้ายสุดคือ เพื่อตั้งคำถามกับเจ้าของข้อมูลว่าเพราะอะไรถึงได้เกิดการค้างชำระ จุดนี้เขาเรียกว่า การวิเคราะห์ความตั้งใจในการชำระหนี้หรือ willingness to pay analysis นั่นเอง ข้อวิเคราะห์นี้จะนำไปพิจารณาร่วมกับข้อมูลการวิเคราะห์ความสามารถในการชำระหนี้หรือ Ability to pay analysis และข้อมูลเรื่องหลักประกัน

สำหรับมาตรฐานสากลในการเก็บข้อมูลในเครดิตบูโรนั้นคือเครดิตบูโรเก็บข้อมูลที่ได้รับจากสมาชิกสถาบันการเงิน 3 ปีขึ้นไปหรือขั้นต่ำควรเก็บข้อมูลไว้ 3 ปี ธนาคารโลกจะมีการสำรวจและจัดทำเป็นรายงานเผยแพร่ทั่วโลกว่าในจำนวน 189 ประเทศมีประเทศใดเก็บข้อมูลเป็นระยะเวลาเท่าใด….เอธิโอเปียประเทศที่ยากจน ด้อยพัฒนาเขาเก็บข้อมูล 3 ปี ประเทศไทยเราได้ตัดสินใจในอดีตแล้วว่าเก็บไม่เกิน 3 ปี … ขอบคุณครับ

เอาตัวรอดให้พ้นวิกฤติด้วยแผนการออมเงินสุดชิคไม่เหมือนใคร

เอาตัวรอดให้พ้นวิกฤติด้วยแผนการออมเงินสุดชิคไม่เหมือนใคร

เอาตัวรอดให้พ้นวิกฤติด้วยแผนการออมเงินสุดชิคไม่เหมือนใคร

วิกฤติครั้งนี้หนักยิ่งนัก รายรับที่มีก็เริ่มหดหาย รายจ่ายก็ผุดเพิ่มขึ้นมาตลอดเวลา หากใครที่ไม่มีเงินออมสำรองฉุกเฉินถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ได้เลยล่ะค่ะ แต่สำหรับใครที่กำลังคิดจะเริ่มต้นวางแผนการออมก็สามารถเริ่มทำได้ตั้งแต่วันนี้นะคะ ด้วยแผนการออมเงินจากทั้ง 4 แผนนี้ค่ะ

แผนที่ 0

แผนแรกสำหรับมือใหม่หัดออมคือการศึกษาเรื่องของการวางแผนรายจ่าย และการลงทุนให้พร้อม เพื่อสร้างคลังความรู้ทางการเงินของเรา หรือแบบที่เรียกเข้าใจง่าย ๆ คือการเรียนรู้ทฤษฎี ก่อนจะเริ่มต้นวางแผนการเงินไม่ให้เกิดสะดุด หรือผิดพลาดนั่นเองค่ะ

แผนเริ่มต้น

เมื่อศึกษาวิธีการออมเงิน หรือการวางแผนการเงินมาในระดับหนึ่ง ก็ถึงขั้นตอนการลงมือปฏิบัติ แน่นอนว่าช่วงเริ่มต้น เราไม่ควรวางแผนการเงินที่ฟุ้งมากจนเกินไป ควรเริ่มจากการวางแผนการเงินในระยะสั้น ๆ ภายใน 1 ปี เช่น ต้องการออมเงิน 1 แสนบาทภายใน 1 ปี หรือต้องการออมเงินเพื่อไปเที่ยวต่างประเทศ 1 ครั้งต่อปี

แผนระยะกลาง

เวลาผ่านไปการวางแผนการเงินของเราจะเริ่มชำนาญมากยิ่งขึ้น จากที่วางแผนระยะสั้น ก็เพิ่มระดับด้วยการวางแผนระยะกลาง เช่น วางแผนการเงินในช่วง 10 ปีข้างหน้าว่ามีเป้าหมายทางการเงินในเรื่องใด เช่น ต้องการซื้อบ้าน ซื้อรถ ทำธุรกิจ เพื่อที่จะทำให้แผนการเงินที่วางไว้ไปถึงเป้าหมายอย่างราบรื่น

แผนระยะยาว

ช่วงชีวิตของทุกคนจะต้องมีวันเกษียณ แม้ว่าจะเป็นมือใหม่หัดออม แต่ภาพในวัยหลังเกษียณก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เราควรมองหาการออม การลงทุนระยะยาวเพื่อใช้ในยามหลังเกษียณ เช่น กองทุน หุ้น เพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาว

สุดท้ายนี้ทุกการวางแผนการออมเงินสิ่งสำคัญคือการสร้างวินัยทางการเงินขึ้นมาด้วยตนเอง สำหรับใครที่กำลังเริ่มต้นวางแผนการเงิน ขอให้เป็นปีแห่งการเริ่มต้นการออมเงินที่ดีนะคะ

โสดอย่างมีสไตล์ วิธีวางแผนการเงินคนโสดแบบปัง ๆ ไม่ง้อคู่

โสดอย่างมีสไตล์ วิธีวางแผนการเงินคนโสดแบบปัง ๆ ไม่ง้อคู่

โสดอย่างมีสไตล์ วิธีวางแผนการเงินคนโสดแบบปัง ๆ ไม่ง้อคู่

ยุคนี้ใคร ๆ ก็เริ่มครองตัวเป็นโสดกันเยอะมากขึ้น ซึ่งเราจะเห็นได้จากสถิติคนโสดเพิ่มขึ้นในแต่ละปี เนื่องจากปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ มากมายที่อาจทำให้ใครหลาย ๆ คน เลือกที่จะอยู่ตัวคนเดียวมากกว่าการสร้างครอบครัว หรือชีวิตคู่ แน่นอนว่าข้อดีของการเป็นโสดมีอยู่มากมายไม่ว่าจะเป็นเรื่องการใช้ชีวิต หน้าที่การเงิน รวมไปถึงเรื่องการเงินที่ไม่ต้องห่วงหน้าห่วงหลัง

ฉะนั้น เพื่อให้เราได้ใช้ใช้ชีวิตโสดอย่างมีความสุข และมีสไตล์ ต้องมีวิธีการวางแผนการเงินแบบปัง ๆ ที่มีเพียงแค่คนโสดเท่านั้นจะทำได้กันค่ะ

  1. เช็กลิสต์รายจ่ายในชีวิตประจำวัน

แม้ว่าจะไม่มีภาระเรื่องอื่น ๆ ติดตัว แต่เราก็ยังคงมีภาระรายจ่ายส่วนตัวที่ต้องจ่ายอยู่ ฉะนั้นทุกครั้งที่จะมีการใช้จ่ายอะไรออกไป ควรมีการเช็กลิสต์รายจ่ายเหล่านั้นให้ชัดเจน เพื่อสามารถนำมาจัดเรียง วางแผนรายรับ รายจ่ายในชีวิตประจำวันได้อย่างเหมาะสม

  1. ตั้งเป้าหมายระยะยาว

หากคิดจะเป็นโสดไปตลอดชีวิต คุณควรที่จะมีการวางแผนชีวิต และเป้าหมายการเงินในระยะยาวให้ชัดเจน มองระยะยาวไปจนถึงหลังเกษียณ โดยนำภาพรวมรายจ่ายประจำวันของเรามาเป็นตัวตั้งเพื่อวางแผนการใช้จ่ายในอนาคต ประมาณการรายจ่ายที่คาดว่าจะต้องใช้ และค้นหาทางที่จะเก็บออมเงินเพื่อไปต่อยอดลงทุนให้เงินงอกเงยต่อไป

  1. อย่าปล่อยให้เงินนอนนิ่ง

ในยุคนี้การปล่อยให้เงินนอนนิ่งเฉย ๆ ในบัญชีเงินฝาก ไม่ช่วยให้เงินของเรางอกเงยเพิ่มขึ้นนะคะ ยิ่งคนโสดอย่างเราด้วยแล้ว ควรจะต้องมองหาการลงทุนเพื่อช่วยให้เงินก้อนของเราสร้างผลตอบแทน หรือกำไรให้ได้กลับมาอย่างคุ้มค่ามากที่สุด เช่น กองทุน หุ้น ทองคำ เป็นต้น

  1. หมั่นสำรวจหนี้สินอยู่เสมอ

เพื่อสำรวจภาระค่าใช้จ่ายว่าเรามีค่าใช้จ่ายไหนที่ค้างคาอยู่บ้าง เพื่อจัดการชำระให้เสร็จสิ้น หรือเพื่อจัดลำดับความสำคัญของภาระค่าใช้จ่ายเพื่อสร้างอิสระทางการเงินสำหรับคนโสด

  1. เก็บเงินเพื่อยามฉุกเฉิน

เพราะคนโสดคือการยืนหนึ่งตัวคนเดียว หากเกิดปัญหา หรือเหตุฉุกเฉินต้องใช้เงินด่วน เราก็จะสามารถนำเงินในส่วนนี้มาใช้จ่ายได้ก่อน โดยไม่ต้องเดือดร้อน หรือเป็นภาระทางการเงินในส่วนค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ค่ะ

ทั้งหมดนี้เป็นเพียงแนวทางการวางแผนการเงินเพียงรูปแบบหนึ่งเท่านั้น ซึ่งคนโสดสามารถนำไปปรับให้แผนการเงินมีความเหมาะสมกับตัวเองได้ หากเรามีการจัดการวางแผนการเงินที่ดี ก็รับรองได้ว่าคุณจะเป็นคนโสดอย่างมีสไตล์ที่สุดแน่นอนค่ะ

การเงินต้องรอด วางแผนการเงินให้อยู่หมัดพ้นวิกฤติแต่ละเดือน

การเงินต้องรอด วางแผนการเงินให้อยู่หมัดพ้นวิกฤติแต่ละเดือน

การเงินต้องรอด วางแผนการเงินให้อยู่หมัดพ้นวิกฤติแต่ละเดือน

วิกฤติหนักแค่ไหน แต่การเงินปีนี้ต้องรอด!

แต่วิธีที่จะทำให้การเงินรอดวิกฤตินอกจากจะต้องประหยัดแล้ว ต้องวางแผนการเงินด้วยค่ะ

ในช่วงนี้ถ้าหากพูดถึงเรื่องการเงิน คงจะมีอาการเจ็บจี๊ด ๆ ที่หัวใจกันอยู่ไม่มากก็น้อย เพราะแค่เริ่มต้นปีมาได้ไม่นาน รายรับที่ได้มากลับร่อยหรอ เหลือใช้น้อยลงในทุกวัน แต่อย่าเพิ่งหมดกำลังในการออมเงินไปค่ะ เพราะยังมีเวลาอีกหลายเดือนที่จะช่วยให้คุณจัดการวางแผนการเงินจนได้ไปถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้

ลองเริ่มเช็กลิสต์เป้าหมายของตัวเองกันตั้งแต่วันนี้ แล้วสำรวจความต้องการในอันใกล้ของตัวเองว่าต้องการประสบความสำเร็จในเรื่องใดมากที่สุด จากนั้นมาเริ่มวางแผนการเงินให้อยู่หมัดตามแต่ละไตรมาสกันค่ะ

ไตรมาสที่ 1 – มกราคม – มีนาคม

สำรวจภาระหนี้สิน และวางแผนการยื่นภาษีประจำปี

ในช่วง 3 เดือนแรกของปีควรเป็นการวางเป้าหมายการเงินของแต่ละปี และจัดสรรการเงินที่มีของตัวเองให้เข้าที่เข้าทาง เช็กลิสต์ภาระหนี้สินว่าตลอดทั้งปีจะมีรายจ่ายอะไรบ้าง และนอกจากนี้ยังเป็นช่วงเวลาของการเตรียมพร้อมยื่นภาษีประจำปีอีกด้วย อย่าลืมเช็กตัวเองกันนะคะว่ารายได้สุทธิของเราอยู่ในเกณฑ์ที่จะต้องยื่นภาษี หรือจ่ายภาษีกันหรือเปล่า

ไตรมาสที่ 2 – เมษายน – มิถุนายน

วางแผนเงินออม สำรองรายจ่ายฉุกเฉิน

เมื่อเริ่มเข้าสู่ในช่วงเดือนที่ 4 หรือไตรมาสที่ 2 ควรเริ่มออมเงินสำหรับเป็นเงินสำรองฉุกเฉิน 6-12 เท่าของรายจ่าย เพื่อใช้ในยามคับขัน หรือเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน โดยอาจจะนำไปเปิดเป็นบัญชีเงินฝากแยกเงินในส่วนนี้โดยเฉพาะ หรือนำไปเพิ่มมูลค่าเพื่อให้เงินเติบโตขึ้น

ไตรมาสที่ 3 – กรกฎาคม – กันยายน

วางแผนการลงทุน และเกษียณในระยะยาว

แม้ว่าช่วงอายุสำหรับบางคนอาจจะยังดูห่างไกลเกินกว่าคำว่าเกษียณอายุ แต่เราก็ไม่ควรละเลยในเรื่องนี้ไปค่ะ เมื่อเข้าสู่ช่วงไตรมาสที่ 3 หลังจากวางแผนเงินสำรองฉุกเฉินเป็นที่เรียบร้อยก็เป็นเวลาของการวางแผนการลงทุน และเกษียณอย่างจริงจังกันบ้าง นำเงินออมที่มีมาลงทุนเพื่อให้งอกเงยขึ้น ไม่ว่าจะเป็นลงทุนรูปแบบประกันชีวิต กองทุนรวม หุ้น ซึ่งการลงทุนทั้งหมดที่กล่าวมาควรมีการศึกษาให้ละเอียดชัดเจนก่อนการลงทุนด้วยนะคะ

ไตรมาสที่ 4 – ตุลาคม – ธันวาคม

วางแผนการลดหย่อนภาษี และสรุปการเงินภาพรวมของชีวิต

3 เดือนสุดท้ายก่อนหมดปี ควรเป็นการสรุปภาพรวมทั้งหมดของรายรับ-รายจ่ายที่เข้าออกตลอดในแต่ละปี และเป็นการตรวจสอบ วางแผนลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมก่อนนำไปยื่นในรอบปีถัดไป แต่ถ้าสำหรับใครที่มั่นใจว่าตัวเองไม่ต้องยื่นภาษีอย่างแน่นอน ให้ถือว่าช่วงนี้เป็นอีกช่วงในการวางแผนการลงทุนต่อไปได้ด้วยเช่นกันค่ะ

เมื่อได้ลองเริ่มจัดการวางแผนการเงินแล้ว ประการต่อมาถือการลงมือทำ เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ไปสู่เป้าหมายที่ตัวเองวางไว้ในแต่ละปี จะเป็นเป้าหมายเล็ก หรือใหญ่ แต่ถ้าหากมีการเริ่มลงมือทำอย่างสม่ำเสมอ ขอให้มั่นใจได้ว่าความสำเร็จรออยู่ไม่ไกลค่ะ

วางแผนการเงินฉบับฟรีแลนซ์ ให้ใช้ชีวิตแบบมีวินัยทางการเงิน

วางแผนการเงินฉบับฟรีแลนซ์ ให้ใช้ชีวิตแบบมีวินัยทางการเงิน

วางแผนการเงินฉบับฟรีแลนซ์ ให้ใช้ชีวิตแบบมีวินัยทางการเงิน

เมื่อเอ่ยถึงฟรีแลนซ์ ภาพที่หลาย ๆ คนคิดคงมีแต่ภาพความอิสระ ความฟรีสไตล์ในการใช้ชีวิต แต่ถ้ามองในอีกมุม สิ่งที่ฟรีแลนซ์ต่างจากพนักงานบริษัทคือความสม่ำเสมอของรายได้ ที่เราไม่สามารถรู้ได้ว่าในแต่ละเดือนจะมีรายรับเข้ามาจำนวนเท่าไหร่ ฉะนั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่คาดฝัน เงินเก็บสำรองไม่มี มาลองจัดสรรการเงินฟรีแลนซ์ อย่างมีสไตล์ง่าย ๆ แค่ 4 ข้อนี้กันค่ะ

  1. ติดอาวุธ สร้างวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด

หากใครทำฟรีแลนซ์จะเข้าใจในเรื่องของรายรับ-รายจ่าย ที่ไม่แน่นอนเป็นอย่างดี ฉะนั้นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งคือ การติดอาวุธ สร้างวินัยทางการเงินอย่างเคร่งครัด ยิ่งหากเราให้ตนเองมีวินัยมากเท่าไหร่ ก็ช่วยให้เราสามารถจัดสรรการเงินได้ง่ายยิ่งขึ้นค่ะ

  1. สร้างบัญชีสำรองฉุกเฉินให้ตนเอง

ฟรีแลนซ์มีความอิสระในการทำงานสูงก็จริง แต่อย่าลืมว่าการทำงานฟรีแลนซ์ก็มีความไม่มั่นคงอยู่เช่นกัน ฉะนั้นเพื่อให้ชีวิตฟรีแลนซ์ได้อย่างฟรีสไตล์ เมื่อมีรายรับเข้ามาควรสร้างบัญชีสำรองฉุกเฉิน จัดสรรการเงินของตนเองให้เป็นสัดส่วน เผื่อการเกิดเหตุไม่คาดฝันในอนาคต

  1. เปลี่ยนความไม่มั่นคงให้มั่นคงด้วยการสร้างพอร์ตการลงทุน

หลายคนอาจมองว่าฟรีแลนซ์ไม่มีความมั่นคงแต่จริง ๆ แล้วความมั่นคงสร้างได้ถ้ามีพอร์ตการลงทุนที่ดีค่ะ ยิ่งอาชีพฟรีแลนซ์เป็นอาชีพที่เงินมาไวไปไว เราจึงจำเป็นที่จะต้องจัดพอร์ตการลงทุนสร้างความมั่นคงกับชีวิตโดยเร็วที่สุด ด้วยการศึกษาข้อมูลการลงทุน เลือกรูปแบบการลงทุนที่เหมาะสมกับอาชีพฟรีแลนซ์ เพื่อสร้างผลตอบแทน และกำไรไว้ใช้ในอนาคตค่ะ

  1. หาหลักประกันในชีวิตให้แน่นอน

เพราะฟรีแลนซ์ไม่มีหลักประกันที่มั่นคงแน่นอน ไม่มีสวัสดิการจากบริษัทเหมือนกับพนักงานประจำ จึงจำเป็นที่จะต้องสร้างหลักประกัน ความมั่นคงในชีวิต อาจจะเป็นการซื้อประกันสุขภาพ ประกันชีวิต เพื่อมาลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในชีวิตค่ะ

สุดท้ายนี้เรื่องของการวางแผน หรือการจัดสรรทางการเงินเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ควรทำ เพราะถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญทางการเงิน เพียงแค่ต้องรู้จักวิธี และการจัดสรรที่ดีอย่างเป็นระบบ

สร้างวินัยทางการเงินแต่ละช่วงวัยให้ปัง ครบ จบ ใน 1 เดียว

สร้างวินัยทางการเงินแต่ละช่วงวัยให้ปัง ครบ จบ ใน 1 เดียว

สร้างวินัยทางการเงินแต่ละช่วงวัยให้ปัง ครบ จบ ใน 1 เดียว

เรื่องของการเงินเป็นเรื่องที่คนในแต่ละช่วงวัยจะต้องเจออยู่แล้วตลอดเวลา เพียงแค่ว่าในช่วงวัยนั้น ๆ เราจะให้ความสำคัญมากน้อยเพียงใด มีวิธีการรับมือทางการเงินได้ดีแค่ไหน ซึ่งหากเรามีการสร้างวินัยทางการเงินที่ดีไว้ในแต่ละช่วงวัยตั้งแต่เนิ่น ๆ ในภายภาคหน้าอนาคตเราก็จะมีวิธีรับมือกับเหตุไม่คาดฝันได้ค่ะ

ดังนั้นเพื่อเตรียมรับมือ สร้างวินัยทางการเงินในแต่ละวัยได้อย่างแข็งแกร่งควรมีแนวทาง วิธีการสร้างวินัยแต่ละช่วงวัยดังนี้ค่ะ

วัยเด็ก

ถือว่าเป็นช่วงวัยเริ่มต้นของการได้รับเงินจากพ่อแม่ แต่จะเป็นเงินจำนวนน้อย ๆ ฉะนั้นวิธีการสร้างวินัยทางการเงินของช่วงวัยนี้คือหมั่นสร้างนิสัยการออมโดยให้เริ่มหยอดกระปุกวันละ 5 บาท หรือ 10 บาท และควรให้ทำเป็นประจำทุกวันเพื่อให้เด็ก ๆ ซึมซับพฤติกรรมการออมไปในอนาคตค่ะ

วัยนักเรียน

ขยับขึ้นมาอีกระดับ วัยนักเรียนถือเป็นช่วงที่ได้ค่าขนมจากพ่อแม่เพิ่มขึ้น ทำให้เราสามารถมีวิธีการจัดสรร การออมเงินได้เพิ่มขึ้นมาอีกระดับหนึ่ง ซึ่งวิธีในการสร้างวินัยทางการเงินของช่วงวัยนี้ที่แนะนำคือการเริ่มต้นออม 1 ใน 3 ของรายรับที่พ่อแม่ให้ เพื่อสร้างความกระตุ้นในการสร้างวินัยทางการเงินของตนเองค่ะ

วัยจบใหม่

จบใหม่ให้ไม่เจ็บ คือต้องมองภาพรวมของทางการเงินให้อย่างละเอียดมากยิ่งขึ้นค่ะ เพราะช่วงวัยนี้เป็นวัยที่กำลังเริ่มต้นทำงาน เมื่อได้เงินเดือนมาก็ทำให้อยากใช้จ่าย จนบางครั้งก็หมดไปกับเรื่องที่ไม่จำเป็น การสร้างวินัยทางการเงินในช่วงวัยนี้ควรเน้นหลักไปที่การคิด คำนวณเรื่องของการใช้จ่ายให้ดีค่ะ มองภาพรวมให้ละเอียดว่าสิ่งที่เรากำลังจะซื้อนั่นเป็นสิ่งที่จำเป็น หรือเป็นสิ่งของตามเทรนด์ ตามกระแสเพียงเท่านั้น หากตัดหรือลดความต้องการลงได้ เราจะมีเงินเก็บอย่างแน่นอน

วัยทำงาน

พอถึงจุดที่เริ่มต้นทำงานมาได้ระยะหนึ่ง การเงินของคนในวัยนี้คือการสร้างความมั่นคงของตนเองในชีวิต อยากได้หลักประกันที่มั่นคง ฉะนั้นการสร้างวินัยทางการเงินสำหรับคนในวัยนี้คือการสร้างพอร์ตการลงทุนของตนเอง เริ่มนำเงินไปลงทุนเพื่อให้เงินงอกเงย และได้ผลตอบแทนกลับมาเพื่อวางแผนชีวิตอนาคตต่อไป

วัยเกษียณ

วินัยทางการเงินของคนในช่วงวัยนี้ คือประเมินรายรับ-รายจ่ายทั้งหมดที่ตนเองมี เพื่อนำมาจัดสรรได้อย่างชัดเจน และเหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ของเรา แต่ทั้งนี้ก็อย่าลืมว่าช่วงวัยเกษียณ เราไม่มีรายรับเข้ามามากเมื่อเทียบกับวัยทำงาน ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราควรจะต้องมีการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง วางแผนจัดสรรการเงินให้ดี เพื่อป้องกันความผิดพลาดในรายจ่ายที่อาจเกิดขึ้นได้

วินัยทางการเงินไม่ได้ถือเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก หรือไกลเกินเอื้อมในช่วงชีวิตของคนแต่ละวัย หากเพียงแต่เราควรจะต้องหมั่นฝึกฝน หมั่นออมเงิน เพื่อสร้างวินัยทางการเงินอยู่เป็นประจำและสม่ำเสมอนั่นเองค่ะ

เรื่องน่าอ่าน