Blog Page 77

ข่าวเครดิตบูโร 005/2563 : สำนักงาน กสทช. จับมือเพิ่มเติมกับ ทีโอที ดีแทค สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตลาดหลักทรัพย์ และเครดิตบูโร ต่อยอดพัฒนาระบบ Mobile ID หรือบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ บนโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อให้บริการประชาชน

วันที่ 7 ธันวาคม 2563

สำนักงาน กสทช. จับมือเพิ่มเติมกับ ทีโอที ดีแทค สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตลาดหลักทรัพย์ และเครดิตบูโร ต่อยอดพัฒนาระบบ Mobile ID  หรือบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ บนโทรศัพท์เคลื่อนที่เพื่อให้บริการประชาชน

สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (สำนักงาน กสทช.) ร่วมกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เรื่อง การพัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยรูปแบบบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ หรือที่เรียกในชื่อ Mobile ID หรือ แทนบัตรณ สำนักงาน กสทช.

นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล  รองเลขาธิการ กสทช. รักษาการแทน เลขาธิการ กสทช. กล่าวว่า  ที่ผ่านมาสำนักงาน กสทช. ได้พัฒนาระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตนด้วยรูปแบบบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ แทนบัตรหรือ Mobile ID ร่วมกับ บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด (AWN) และธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ดำเนินการแล้วเสร็จและมีการทดสอบทดลองขั้นต้นเรียบร้อยแล้ว ต่อมาสำนักงาน กสทช. ได้ขยายความร่วมมือเพิ่มเติมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่นๆ ได้แก่ กรมการปกครอง       กรมการขนส่งทางบก สำนักงานประกันสังคม กรมสรรพากร บริษัท กสท โทรคมนาคม จำกัด (มหาชน) (CAT) และบริษัท ไปรษณีย์ไทย จํากัด บริษัท ทรู มูฟ เอช ยูนิเวอร์แซล คอมมิวนิเคชั่น จำกัด และบริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) เพื่อนำระบบ แทนบัตรหรือ Mobile ID นี้ ไปพัฒนาต่อและประยุกต์ใช้ภายใต้ภารกิจต่าง ๆ ของแต่ละหน่วยงาน และวันนี้สำนักงาน กสทช. พร้อมแล้วที่จะขยายการทำงานร่วมกันเพิ่มเติมกับบริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด สถาบันคุ้มครองเงินฝาก ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด เพื่อทำการทดสอบทดลองในระยะ Sandbox อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถให้ประชาชนร่วมทดลองการใช้งานในช่วงไตรมาสที่ ๒ ปี ๒๕๖๔ ซึ่งปัจจุบัน สำนักงาน กสทช. ได้ร่วมทำงานกับ ETDA และหารือกับธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อพิจารณาการกำหนดมาตรฐานของการให้บริการในระยะทดสอบทดลองนี้ด้วย โดยคาดว่าจะเริ่มใช้งาน Mobile ID ในระยะทดสอบได้ภายในไตรมาสที่ ๑ ปี ๒๕๖๔

นายมรกต เธียรมนตรี  รักษาการกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทีโอที จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า TOT เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนา Digital ID Platform ของประเทศไทยโดย Mobile ID ถือเป็นหนึ่งทางเลือกที่อุตสาหกรรมโทรคมนาคมควรร่วมกันพัฒนาเพื่อส่งเสริมนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการให้บริการกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ การร่วมโครงการนี้ TOT จะสามารถต่อยอดพัฒนาให้ลูกค้า TOT สามารถใช้บริการกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่น ๆ ผ่านโทรศัพท์เคลื่อนที่ได้ด้วย และมีความเชื่อว่าจะสามารถนำไปพัฒนาการให้บริการของ TOT ในช่องทางออนไลน์ได้มากขึ้น เช่น การซื้อ SIM Card การย้ายค่ายเบอร์เดิมโดยไม่ต้องเดินทางไปที่ศูนย์บริการ ซึ่งถือเป็นการเพิ่มจุดให้บริการได้ทั่วประเทศโดยใช้ช่องทางออนไลน์

          นายชารัด เมห์โรทรา  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โทเทิ่ล แอ็คเซ็ส คอมมูนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือดีแทค  กล่าวว่าดีแทคสนับสนุนรัฐบาล และ กสทช. ในการเริ่มพัฒนา “การยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล” ให้ประสบความสำเร็จและใช้งานได้อย่างปลอดภัย ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญในการสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจดิจิทัล รวมทั้งการพัฒนาเพื่อความมั่นใจในบริการดิจิทัลของภาครัฐและเอกชน ดีแทคได้ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) Mobile ID หรือ “แทนบัตร” เพื่อเข้าร่วมในช่วง Sandbox ทดสอบเทคนิค และพัฒนาระบบต่าง ๆ รวมถึงความร่วมมือกับองค์กรอื่น ๆ และนำเสนอหลักการสำคัญ เรามุ่งมั่นที่จะผลักดันระบบ Mobile ID ให้ใช้งานได้สมบูรณ์ในบริการต่าง ๆ เพื่อผู้ใช้งานจำนวนมาก และพัฒนาระบบจนมั่นใจในการรักษาทุกธุรกรรมออนไลน์ให้ปลอดภัย นอกจากนี้ ภายใต้กลยุทธ์ทางธุรกิจของดีแทคที่มุ่งสู่ “Digital first” เรามองเห็นโอกาสมากมายสำหรับการให้บริการดิจิทัลที่สะดวกเพิ่มขึ้น และไว้ใจได้ในความปลอดภัยของข้อมูลแก่ลูกค้าของเรา ระบบ Mobile ID จะช่วยให้ลูกค้าดีแทคสามารถลงทะเบียนซิมใหม่หรือรับบริการธุรกรรมอื่น ๆ ได้โดยไม่ต้องใช้บัตรประจำตัวประชาชน ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลส่วนตัวรั่วไหล การใช้ระบบ Mobile ID จะช่วยลดงานที่ซ้ำซ้อนในการยืนยันตัวตนอีกด้วย 

นางสาวกมลวรรณ ศีลาภิรัติ  รองผู้อำนวยการสถาบันคุ้มครองเงินฝาก กล่าวว่า DPA เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนา Digital ID Platform ของประเทศไทยโดย Mobile ID ถือเป็นหนึ่งทางเลือก                            ในการให้บริการกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยสามารถนำมาช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการของ DPA ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. ที่จะร่วมกันส่งเสริมการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ การร่วมโครงการนี้ DPA จะดำเนินการพัฒนาระบบให้สามารถเชื่อมต่อกับ Mobile ID เพื่อต่อยอดพัฒนาให้ลูกค้า DPA สามารถใช้บริการของ DPA ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยในระยะแรกจะเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับการขอทราบข้อมูลต่างๆผ่านช่องทางออนไลน์ของ DPA และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานอื่นๆ ตามที่สำนักงาน กสทช. ได้ทำความตกลงร่วมมือกันไว้แล้วต่อไป

นายถิรพันธุ์ สรรพกิจ  รองผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า SET เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนา Digital ID Platform ของประเทศไทยโดย Mobile ID ถือเป็นหนึ่งทางเลือกในการให้บริการกับผู้ใช้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยสามารถนำมาช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการของ SET ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. ที่จะร่วมกันส่งเสริมการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ การร่วมโครงการนี้ SET จะดำเนินการพัฒนาระบบให้สามารถเชื่อมต่อกับ Mobile ID เพื่อต่อยอดพัฒนาให้ลูกค้า SET สามารถใช้บริการของ SET ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยในระยะแรกจะเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับการขอเปิดบัญชีเพื่อลงทุน และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานอื่นๆ ตามที่สำนักงาน กสทช. ได้ทำความตกลงร่วมมือกันไว้แล้วต่อไป

นายสุรพล โอภาสเสถียร  ผู้จัดการใหญ่บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด กล่าวว่า บริษัทฯ เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนา Digital ID Platform ของประเทศไทย โดย Mobile ID จะสามารถนำมาช่วยส่งเสริมและสนับสนุนการให้บริการของเครดิตบูโร ได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นความร่วมมือกับสำนักงาน กสทช. ที่จะร่วมกันส่งเสริมการใช้นวัตกรรมใหม่ ๆ ในการให้บริการกับลูกค้าของเครดิตบูโร การร่วมโครงการนี้ เครดิตบูโร  จะดำเนินการพัฒนาระบบให้สามารถเชื่อมต่อกับ Mobile ID เพื่อต่อยอดพัฒนาให้ลูกค้าของเครดิตบูโร สามารถใช้บริการ ได้สะดวกมากยิ่งขึ้น โดยในระยะแรกจะเป็นการอำนวยความสะดวกสำหรับการขอตรวจสอบเครดิตสำหรับรายย่อย และในอนาคตจะขยายความร่วมมือไปยังหน่วยงานอื่น ๆ ตามที่สำนักงาน กสทช.ได้ทำความตกลงร่วมมือกันไว้แล้วต่อไป

 

คอลัมน์ เครดิตบูโรคิดเป็นเห็นต่าง : “ครั้งแรกในไทย…ตรวจเครดิตสกอริ่งได้ทันที ผ่านแอปเกียรตินาคินภัทร (KKP e-Banking Application)” หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ 4 ธันวาคม 2563

ครั้งแรกในไทย…ตรวจเครดิตสกอริ่งได้ทันที ผ่านแอปเกียรตินาคินภัทร (KKP e-Banking Application)

บทความในวันนี้ ขอเสนอบริการใหม่…ล่าสุด คือ บริการตรวจข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่งผ่าน แอปพลิเคชัน KKP e-Banking ครั้งแรกในไทย..ท่านสามารถตรวจเครดิตสกอริ่งผ่านแอปได้ในทันที โดยเป็นความร่วมมือของทั้งสามหน่วยงานในระบบสถาบันการเงินไทย คือ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร) และ บริษัท เนชั่นแนลดิจิทัลไอดี จำกัด (NDID) เพื่อจะกระตุ้นให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่สำคัญของตัวลูกค้าในโลกดิจิทัลอย่างน้อย 3 เรื่องคือ (1) การเตรียมความพร้อมก่อนขอสินเชื่อต่างๆ จากสถาบันการเงินคือรู้จักตัวเราเองก่อนไปคุยกันในรายละเอียดกับคนให้กู้ รู้ตัวเองว่าประวัติการก่อหนี้ และการชำระหนี้ในอดีตตนเองเป็นอย่างไร มีคะแนนเครดิตหรือเครดิตสกอริ่ง (Credit Scoring) ระดับไหน เป็นคนมีความเสี่ยงที่จะชำระหนี้ไม่ได้ระดับไหน (2) รู้จักการพิสูจน์และการยืนยันตัวตนผ่านระบบการพิสูจน์และยืนยันตัวตน (Know your customer หรือ KYC) ในโลกยุคดิจิทัล ผ่าน Mobile Application (3) รู้จักการสมัครหรือการขอสินเชื่อผ่านเครื่องมือสื่อสาร เช่น โทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยไม่ต้องใช้เอกสารที่เป็นกระดาษตั้งแต่ยื่นขอ ได้รับอนุมัติ เงินเข้าบัญชีเพื่อการเบิกถอนไปใช้ตามวัตถุประสงค์

บริการนี้สำหรับผู้ที่ลงทะเบียนแอปธนาคารเกียตรนาคินภัทร ท่านต้องดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน KKP e-Banking ก่อนใช้งาน ได้ที่ App Store (ระบบ IOS) หรือ Google Play (Android) ส่วนการใช้บริการตรวจข้อมูลเครดิตผ่านแอปแอปพลิเคชัน KKP e-Banking ได้ตามขั้นตอนนี้ครับ 1) ใส่รหัส MyPin 2) เลือกบริการตรวจเครดิตบูโร 3) เลือกตรวจเครดิตบูโรได้ 2 แบบ คือ รายงานข้อมูลเครดิตและเครดิตสกอริ่ง หรือ รายงานข้อมูลเครดิต 4) เลือกบัญชีตัดเงินจากแอปและกดยอมรับคำขอตรวจสอบ 5) กดยืนยันตัวตน KKP NDID Service 6) แสดงข้อมูลเครดิตสกอริ่งและรายงานเครดิตแบบสรุปผ่านหน้าจอแอปได้ทันที 7) จัดส่งรายงานรูปแบบ e-Credit Report ทางอีเมลได้ทันที ข้อมูลเพิ่มเติม https://www.ncb.co.th/check-your-credit-bureau/kkp-e-banking-application

คำเตือน กรณีชื่อ-นามสกุล อีเมล เบอร์โทรศัพท์มือถือ และที่อยู่ของท่านมีการเปลี่ยนแปลง กรุณาปรับแก้ไขในระบบให้ถูกต้องก่อนใช้บริการครับ

ทั้งนี้ ที่ผ่านมาเครดิตบูโรดำเนินการพัฒนาและให้ความสำคัญในการเข้าถึงข้อมูลเครดิตของตนเองมาอย่างต่อเนื่อง โดยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของข้อมูลในการตรวจสอบรายงานข้อมูลเครดิตได้อย่างรวดเร็ว หลากหลายช่องทาง อันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งในช่วยตรวจสอบความถูกต้องของข้อมูลเครดิตของตนเองและเพื่อป้องกันภัยการเงินในยุคปัจจุบัน รวมทั้งการรณรงค์สร้างวัฒนธรรม “ออมก่อนกู้ คิดก่อนใช้ มีวินัย เมื่อมีหนี้” เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ประชาชนมีการวางแผนการเงิน พร้อมมีวินัยในการออมเงินและรักษาเครดิตของตนเอง เป็นการกระตุ้นและส่งเสริมให้ประชาชนทั่วไปได้ตระหนักในเรื่องการออม ภาระหนี้ การบริหารจัดการหนี้ การมีวินัย ใช้หนี้ครบใช้หนี้ตรงตามเวลา เพราะอยากเห็นคนไทยมีวินัยทางการเงินเพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นครับ

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : เรามีคนแบบนี้จริงๆในระบบการพยายามยื่นขอกู้… ความรู้ที่จะพาคนวิบัติ : วันจันทร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2563

เรามีคนแบบนี้จริงๆในระบบการพยายามยื่นขอกู้… ความรู้ที่จะพาคนวิบัติ

 จากการที่เครดิต​บู​โรมีระบบติดตาม​ เฝ้าดู​ เฝ้าระวังในโลกสื่อสารออนไลน์​ เพื่อให้ทันต่อเหตุการณ์​ว่าในขณะนี้เรากำลังจะมีประเด็นอะไรบ้างที่สร้างความเสี่ยงในระบบของการให้สินเชื่อ​ แล้วเราก็พบสิ่งที่น่าสนใจครับ​ มีคนหัวหมอเขียนบทความว่า​ การกู้เพื่อหาทางเพิ่มทรัพย์สินด้วยการคิดว่ามันมีช่องโหว่ในระบบ​ แล้วก็ออกคำแนะนำ​ ผู้เขียนขอแจ้งไปยังท่านที่คิดจะทำตามว่าเรื่องนี้ได้มีการจัดวางระบบเพื่อการแก้ไขดังนี้นะครับ​ 

ประเด็นที่มีการนำเสนอว่า​ กู้แบบระเบิดบูโร​ ทำได้อย่างไร​ ลองอ่านดูก่อนนะครับ​ ข้อความดังนี้​…… 

ระเบิดบูโร” แนวคิดจริงๆ อันนี้เป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะสีเทาหน่อยๆ นะครับ เพราะว่าการระเบิดบูโร ถามว่ามันถูกต้องตามกฎ ตามหลักการของทางแบงก์หรือไม่ ผมว่ามันก็ไม่ถูก แต่มันเป็นการใช้ช่องโหว่ในระบบมาทำ ซึ่งก็ไม่ได้ผิดอะไรในมุมการลงทุน (ผู้เขียน​: เพื่อให้ได้ทรัพย์​สิน เช่น คอนโดมาหลายห้องเอาไปหาประโยชน์​ สร้างรายได้)​ ถ้าเราวางแผนที่จะจ่ายคืนหนี้ทั้งหมดได้นะครับ (ผู้เขียน : คำถามคือจะมีสักกี่คนที่สามารถหมุนหนี้แล้วรอด)​

 มาเริ่มกันก่อนที่คำว่า “ระเบิดบูโร” จริงๆเป็นการพูดให้เท่ห์ นิยามของมันก็คือการกู้แบงก์ พร้อมกันหลายๆ ทรัพย์ เช่น ปกติโดยฐานเงินเดือนเราสามารถจะกู้ซื้อคอนโดได้ที่วงเงิน 5 ล้านบาท ถ้าเราคิดว่าเราอยากจะลงทุน หรือเราอยากจะได้คอนโดทั้งหมด 2 หลังๆ ละ 5 ล้านบาท โดยวิธีปกติ ถ้าเรากู้คอนโดสองครั้ง ก็เท่ากับว่าเราต้องมีวงเงิน 10 ล้านเราถึงจะกู้ได้ทั้งสองหลัง แต่ ๆ ๆ ๆ ถ้าเราใช้วิธีการระเบิดบูโร คือ ยื่นกู้พร้อมกัน และโอนพร้อมกัน เราก็จะสามารถเป็นเจ้าของคอนโดทั้ง 2 หลังได้ (ผู้เขียน​ : คำเตือนคือท่านก็เป็นหนี้สองก้อนบนความสามารถตั้งแต่วันแรกว่ารับผิดชอบได้แค่ก้อนเดียว​ กลัดกระดุมเม็ดแรกผิด​ ชีวิตก็เสี่ยง​ มันเท่ห์ตรงไหน)​ แล้วทำไมมันถึงสามารถกู้พร้อมกันได้ล่ะ ต้องย้อนกลับไปมองที่ระบบกลางของธนาคารในไทยเรานะครับ ปกติเขาจะมีสำนักงานเครดิตบูโร ที่จะบันทึก (record) ยอดหนี้สินของทุกๆ คนในทุกๆ เรื่องเอาไว้ เวลาที่เราจะทำการกู้ทางธนาคาร ก็จะเอาประวัติเราไปเช็กหนี้สินที่ฐานข้อมูลจากเครดิตบูโรก่อน 

 แต่จากที่ผมทราบมาฐานข้อมูลตัวนี้จะไม่ได้ปรับปรุงให้ทันสมัย (update) ตามเวลาจริง (real time) มากนัก มันจะมีอัตราการปรับให้ทันสมัย (update) ข้อมูลที่ช้ากว่ากำหนด (delay) ประมาณ 30 วัน (อันนี้จากที่เคยได้ยิน จริงๆ ก็ไม่รู้ว่ากี่วันนะครับ) ดังนั้น ถ้าเราทำการกู้คอนโด 2 หลังพร้อมกัน โอนที่ที่ดินในวันเดียวกัน ข้อมูลในเครดิตบูโรมันก็ยังจะไม่ขึ้นว่าเรามียอดหนี้เกินกว่าฐานเงินเดือนของเรา ก็จะทำให้เรากู้ได้ และโอนคอนโดมาเป็นเจ้าของได้ครับ (ผู้เขียน​ : ระบบจะทำการ​ update รายเดือนหลังจากที่บัญชีใหม่เปิดขึ้นมาไม่เกิน​ 30 วันซึ่งเป็นไปตามรอบ เช่น​ ข้อมูล​ที่เกิดภายในเดือนมีนาคม​จะถูกนำส่งเข้าระบบไม่เกินวันที่​ 20 ของเดือนเมษายน​ และจะถูกนำขึ้นระบบฐานข้อมูล​ไม่เกินวันที่​ 25 ของเดือนเมษายนครับ) 

 เรื่องที่ต้องระวังกับการ ระเบิดบูโร ??!!??

อย่างที่บอกไปนะครับว่าระเบิดบูโรไม่เป็นสีเทามันก็อาจจะมีผลเสียเกิดขึ้นกับเราได้ (ผู้เขียน​ : ท่านที่แนะนำผมต้องขอเรียนว่าท่านกำลังทำบาป​ บาปเคราะห์​จะตกกับคนที่คิดไม่ครบ​ โลภ​ และท้ายที่สุดจะเป็นหนี้เสีย)​ อย่างที่ผมพอจะคิดๆ ออกก็คือ

1. เราต้องมั่นใจจริงๆ นะ ว่าเราสามารถจ่ายคืนหนี้ได้ (ผู้เขียน​ : ก็ตั้งแต่ต้นมันผ่อนไม่ไหว​ แล้วจะมั่นใจว่าจ่ายหนี้ได้อย่างไร​ ก็เพราะรู้ตั้งแต่ต้นว่ากู้ตรงไปตรงมาไม่ได้​ เลยจะมาวิ่งทางลัด​ไม่ใช่หรือ)​ เพราะ ถ้าหนี้ที่ต้องจ่ายต่อเดือนมันเกินกำลังเรา สุดท้าย ไปต่อไม่ไหว ก็จะล้มกันหมดนะครับ ทีนี้จะกลายจากระเบิดบูโร เป็นติดเครดิตบูโร (ผู้เขียน​ : การมีประวัติผิดนัดชำระมันเป็นเรื่องที่ดีกับชีวิตเหรอ​ มันไม่ได้สนุกเหมือนเล่นเกมนะครับ​ จะทำไปเพื่อ..)​ คิดง่ายๆ ว่า กู้ 5 ล้านต้องจ่ายเดือนละ 3 หมื่น ถ้าเรากู้สองห้องพร้อมกันก็ต้องจ่าย 6 หมื่นบาทต่อเดือน เราไหวกันไหมครับ ? แต่ ๆ ๆ ๆ ในกรณีที่เราเอาห้องมาปล่อยเช่า ผู้เช่าก็จะช่วยเราจ่ายด้วย ดังนั้นก็ต้องคิดเลขดีๆ ไว้ก่อน และคิดเผื่อตอนที่แย่ที่สุดไว้ด้วยนะครับ เช่น ตอนที่ห้องว่างหมดเลย เราจะเอาเงินสำรองที่ไหนมาจ่าย ถ้ามันว่างต่อไป 3 เดือน จะทำอย่างไร คิดไว้ด้วยนะครับ (ผู้เขียน​ : ท่านที่แนะนำ​ ทำไมท่านไม่บอกต่อล่ะครับว่าเวลาจมลงไปในบ่อหนี้​ ปีนขึ้นมาไม่ได้​ ถูกทนายเร่งรัดหนี้สิน​ ชีวิตมันตกนรกแค่ไหน​ ให้คำแนะนำ​ สร้างฝัน​ แล้วหนีออกไปแบบเนียนๆ​ ท่านกำลังทำบาปที่ให้ยาพิษเป็นความรู้กับคนที่โลภและหลงไปกับความไม่มีอยู่จริง)​

 2. จำนวนแบงก์ที่เรายื่นกู้ก็มีผลนะครับ หมายถึงว่า ตอนที่เรายื่นกู้ทางธนาคารเขาจะมีการเช็กเครดิตบูโรของเรา ซึ่งในรายงาน (report) มันจะไม่ได้แสดงแค่ยอดเครดิตของเราแต่มันจะบอกด้วยว่า ที่ผ่านมามีใครมาเช็กเครดิตเราบ้าง ซึ่งก็แน่นอนถ้าธนาคารเขาเห็นเรายื่นกู้แต่มีการเช็กเครดิตบูโรก่อนหน้า 9 ครั้งใน 1 เดือนมันก็เป็นสัญญาณ (sign) ของการไม่ปกติแน่ๆ เลยที่ใครจะกู้ทีละตั้ง 9 แบงก์พร้อมกัน ดังนั้นก่อนจะทำ ต้องวางแผนดีๆ หน่อยว่า ห้องนี้จะกู้ด้วยแบงก์ไหน อีกห้องจะกู้ด้วยแบงก์ไหน ธนาคารเขาจะได้ไม่ผิดสังเกตุนะครับ แต่ ๆ ๆ ๆ ถ้าเรายื่นเยอะจริงๆ เราก็เอาสีข้างถูไปได้นะ ก็บอกว่า เรายื่นหลายแบงก์ก็เพื่อหาดอกเบี้ยที่ถูกที่สุด ก็ยังเป็นสิ่งที่เราทำได้ (ผู้เขียน​ : เวลานี้แบงก์​เขาก็เช็กได้ครับ​ เขาเช็กจากประวัติการสืบค้นข้อมูล​ครับ​ ข้อมูล​นี้ส่งให้กับแบงก์​ทุกครั้งที่ตรวจเครดิตบูโร​ ส่งทันทีในเวลาที่มีการเรียกดูข้อมูล​ บางแบงก์ ก่อนจะโอนเงินกู้ให้​ จะมีการเช็กอีกรอบครับ​ ทางธนาคารกลางเขาก็รู้ประเด็นนี้​ สมาคมสินเชื่ออสังหาริมทรัพย์​เขาก็รู้ประเด็นนี้​ ใครที่คิดว่าเขาจะดูตื้นๆ แบบนี้ขอให้คิดใหม่​ ถูกปฏิเสธสินเชื่อมาเยอะแล้ว​ ท่านที่แนะนำเคยรู้จักคำว่า​ เครดิตบูโรช้ำหรือไม่ล่ะ​ จะมั่วก็ต้องไปให้สุด​ หยุดที่ถูกปฏิเสธ แล้วคิดไหมว่าการจะกลับมายื่นขอสินเชื่อได้อีกเวลานี้มันต้องรอระยะดูใจอีกนานพอสมควร)​

 3. ควรให้เจ้าหน้าที่ธนาคาร รู้หรือไม่ว่า เรากำลังจะระเบิดบูโร … เรื่องนี้ตอบยาก ผมคิดอย่างนี้ เจ้าหน้าที่ ตามหน้าที่แล้ว เขาไม่สนับสนุนการระเบิดบูโรหรอกครับ น่าจะเป็นเรื่องที่ผิดเต็มๆ ดังนั้นผมว่าไม่จำเป็นต้องให้เขารู้ครับ แต่ ๆ ๆ ๆ สุดท้ายเขาก็จะเห็นจากจำนวนการยื่นขอดูเครดิตบูโรที่ผมบอกไปในข้อที่แล้วเอง … 

 4. ควรที่จะโอนทุกทรัพย์ในวันเดียวกัน ผมว่าชัวร์สุด … จากที่เคยๆ ทำมา ผมจะให้โอนวันเดียวกันเลยนะครับ อย่างเช่น คอนโดสองที่ ก็โอนมันวันที่ 3 พร้อมกันเลย จะได้ไม่ต้องมากังวลเรื่องการ update ฐานข้อมูลของเครดิตบูโร แต่ ๆ ๆ ๆ ก็อย่างที่บอกว่ามันจะช้ากว่ากำหนด (delay) แต่ผมก็ไม่รู้ว่าระยะมันเป็นอย่างไร มันตัดรอบการ update อย่างไร เอาว่าเสี่ยงน้อยสุดก็ใช้วันเดียวกันให้หมดครับผม (ผู้เขียน​ : มันทำได้จริงเหรอ​ ระวังนะครับ​ จินตนาการกับความจริง)​

 5. ความเร็ว ความพร้อมของเอกสาร ต้องสมบูรณ์แบบ (perfect)!!! อย่างที่บอกว่าเราพยายามจะทำให้ทุกการโอนจบในวันเดียว ดังนั้นเรื่องเอกสาร การตรวจทาน กับทางธนาคารที่เราเลือก ก็ต้องดูให้ดีให้ครับ จะได้ไม่มีปัญหาต้องเลื่อนเวลาโอน เพราะจะไปกระทบกับการโอนอีกห้องได้ครับ (ผู้เขียน​ : หึหึ) 

 

แบบอย่าง (โมเดล-Model) การจัดการของผม (การจ่ายคืน) จริงๆ แล้วเหตุผลของการระเบิดบูโรของแต่ละคนคงไม่เหมือนกัน ที่แน่ๆ ถ้าอยากจะได้แค่คอนโดเงินเหลือ แล้วจะกู้ทีละหลายๆ ห้องเพื่อจะเอาเงินส่วนต่างมาใช้ ผมไม่แนะนำให้ทำอย่างยิ่งเลยครับ (ผู้เขียน​ : สินเชื่อเงินทอนถูกจัดการอย่างเด็ดขาดด้วยมาตรการ​ LTV​ (Loan to Value อัตราส่วนการให้สินเชื่อโดยเทียบกับมูลค่าหลักประกัน) ไปเรียบร้อยแล้วครับตั้งแต่ปลายปี​ 2562)​ ห้าม ๆ ๆ ๆ ๆ ทำเลยนะ เพราะถ้าเราไม่มีปัญญาจ่ายคืน ก็อย่ากู้มาดีกว่าครับ เสียประวัติซะเปล่าๆ มาว่ากันเรื่องแบบอย่าง model ที่ผมใช้ดีกว่านะครับ

 

บทสรุป​ คนโลภจะเป็นเหยื่อของความโลภ​ คนที่คิดว่าตนเองฉลาดแกมโกง​ บ่มเพาะนิสัย​ สร้างสิ่งที่ผิด​ สร้างบาปในความคะนองทางปัญญาที่คิดว่ามีกว่าคนอื่น​ มันคือสิ่งที่เรียกว่า​ ศีลธรรมวิบัติ​ในโลกการเงิน​ เรามีคนอย่างนี้จริงๆ​ ในอดีตก็มักหลบในมุมมืด​ แต่ตอนนี้มีความกล้าถึงขนาดประกาศก้องว่าเป็น​ model ช่างเป็นสิ่งที่น่าอับอายจริงๆ​ ต้องย้อนกลับไปตอนรับปริญญาหากท่านที่แนะนำมีการศึกษาในระดับนั้น​ เวลาเราปฏิญาณตนต่อปริญญานั้นเราได้เปล่งวาจาว่าอย่างไร​ เวลาเราถ่ายภาพกับคนที่รักและครอบคัวเราภาคภูมิใจ​กับสิ่งใด​ แล้ววันนี้เราได้ใช้ความรู้เราให้สังคมดีขึ้นหรือเลวลง​ สำหรับท่านที่คิดจะทำตาม​ model ผู้เขียนมีคำเตือน​ “การลงทุนมีความเสี่ยง​ ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูล​ให่ถ่องแท้​ก่อนการตัดสินใจ” 

ขอบคุณครับ

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : เราควรแยกคนที่ผิดนัดชำระหนี้จากผลของ​ COVID-19 ออกมาให้ชัดดีไหม : วันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2563

เราควรแยกคนที่ผิดนัดชำระหนี้จากผลของ​ COVID-19 ออกมาให้ชัดดีไหม

 มีข้อถกเถียงมาโดยตลอดระหว่างลูกหนี้ผู้เป็นเจ้า​ของข้อมูล​กับเจ้าหนี้สถาบันการเงินและผู้ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลว่า

1.ควรจะมีการระบุให้ชัดเจนหรือไม่ว่าบัญชี​สินเชื่อที่เขาคนนั้นมีอยู่นั้นได้รับผลกระทบจากมาตรการสกัดกั้นการแพร่ระบาดของไวรัส​ ในทางเทคนิคคือควรจะมีการระบุเป็น​ code ชัดเจนหรือไม่ว่าบัญชีสินเชื่อใดเข้าโครงการให้ความช่วยเหลือด้านการชะลอการชำระหนี้​ เพื่อให้คนปล่อยกู้รายใหม่เห็นชัดๆ

2.ในระหว่างที่คนซึ่งเป็นลูกหนี้ยังอ่อนแอจะยอมให้สถาบันการเงินที่ใจถึง​เชื่อในข้อมูล​ว่าลูกหนี้รายนี้ดีพอที่จะอนุมัติสินเชื่อให้ได้​ จะยอมได้กี่มากน้อย​ จะลด​ ละวาง​ เกณฑ์ที่นำเข้ามาจากตะวันตกและเชื่อกันมาตั้งแต่หลังปี​ 2540​ ในลักษณะ​ Risk based ได้ขนาดไหน

3.เราควรจะเปิดใจดูข้อมูล​ในเครดิตบูโรก่อนหรือไม่​ ที่จะยอมให้คนที่มีประวัติการชำระหนี้ดีมาก​ ไม่ผิดนัดเลยก่อนเดือนมีนาคม​ 2563​ นี้ย้อนหลังลงไป​ 24 เดือนจนถึง​เดือนมีนาคม​ 2561​ แต่ต่อมาหลังเดือนเมษายน​ 2563 หลังเดือนตุลาคม​ 2563​ เริ่มมีการค้างชำระเพราะสถานการณ์​และมาตรการป้องกันเชื้อโรคไวรัสนี้​ เราจะมองคนกลุ่มนี้อย่างไร​ มองว่าเป็นหนี้เสียเลย​ หรือจะให้โอกาสคนเหล่านี้เข้าถึงสินเชื่อได้อีกครั้ง

 เวลานี้ผู้เขียนมองว่า​ จะมีคนถูกฟ้องร้องดำเนินคดี​ เรียกหนี้คืน​ เพราะการชำระหนี้อ่อนแอลงมามาก​ เวลาถูกฟ้องศาลท่านจะมีการดำเนินการไกล่เกลี่ยครับ​ ว่าลูกหนี้เจ้าหนี้พอจะผ่อนกันลงมาแค่ไหน​ จะเอาแบบเต็มยอดเลย​ คงจะไม่ไหว​ ทีนี้ถ้าตกลงกันได้​ ศาลท่านอาจกรุณาพิพากษาตามยอม​ ยอมอะไร​ ยอมตามสิ่งที่เจ้าหนี้ลูกหนี้ได้คุยกันต่อหน้าศาล​ ซึ่งจะเป็นทางออกที่ดีกว่าการต่อสู้​ ค้าความกันไปสิ้นเปลืองเวลาและเงินทอง​ แต่หากว่าทั้งสองฝ่ายไม่เอาทางไกล่เกลี่ย​แล้วเรื่องก็จะไปศาลและทั้งสองฝ่ายก็นัดสืบพยานจนคดีมีการตัดสิน

 ในแง่ของการรายงานข้อมูลไปสู่เครดิตบูโรนะครับ​ เพื่อเป็นแนวทางนะครับ

1. เมื่อผ่อนหนี้ได้ตามปกติ​ ข้อมูล​จะถูกส่งมาจากเจ้าหนี้มอบให้กับเครดิตบูโรว่า​ 10 : ปกติ​ ไม่มีการส่งวันผิดนัดชำระหนี้

2. ต่อมามีการค้างชำระหนี้เนื่องจากประสบผลจากสถานการณ์​การแพร่ระบาด​ ก็จะปรากฏข้อมูล​การค้างชำระ​ จนเมื่อการค้างชำระต่อเนื่องกันเกิน​ 90​ วันหรือสามรอบการชำระ​ รหัสสถานะ​บัญชีจะเปลี่ยนเป็น​ 20​ : ค้างชำระเกิน​ 90 วัน​ 

3. เวลาผ่านไป​ เจ้าหนี้ได้ดำเนินการยื่นเรื่องฟ้องร้องคดีต่อศาล​ และศาลมีการประทับรับฟ้อง​ รหัสสถานะ​บัญชีจะเปลี่ยนไปเป็น​ 30​ : อยู่ระหว่างดำเนินการทางกฎหมาย​ ซึ่งจะมีผลร้ายแรงต่อตัวลูกหนี้​ คนที่จะปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ก็จะยากถึงยากมากๆ​ เพราะเห็นกันอยู่ว่าลูกหนี้ผิดนัดชำระจนถูกฟ้อง​ แต่จุดสำคัญคือไม่รู้สาเหตุว่าที่ค้างชำระจนถูกฟ้องเนื่องจากผลกระทบของ​ COVID-19​ 

4. หากเจ้าหนี้กับลูกหนี้เข้ากระบวนการไกล่เกลี่ย​ที่ศาลจัดให้ และตกลงกันได้จริง​ ทั้งสองฝ่ายก็จะยอมให้ศาลออกคำพิพากษาตามยอม​ ยอมตามที่ทั้งคู่​ตกลงกัน​ รหัสสถานะ​บัญชีก็จะเปลี่ยนเป็น​ 31 : อยู่ระหว่างการชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอม​ จนเมื่อมีการชำระหนี้จนหมดแล้ว​ รหัสสถานะ​บัญชีจะเปลี่ยนเ��

 ผู้เขียนได้พูดคุย​ พบปะกันใครต่อใคร​ บางท่านมีข้อเสนอว่า​ หากเราดูแล้วว่าก่อนหน้าที่จะมีการแพร่ระบาด COVID-19​ ลูกหนี้รายนี้เขาชำระหนี้ได้ดียาวนานเกิน​ 24 เดือน​ แล้วเวลานี้เขาประสบเคราะห์กรรม​จากการแพร่ระบาดของไวรัส​ จนเกิดเป็นหนี้เสียบางบัญชีแล้ว​ เราควรช่วยเขาหรือไม่​ ทำไมเรามีการช่วยพวกที่เข้าโครงการพักชำระหนี้ตามนโยบายของรัฐ​ นโยบายพักหนี้บนนโยบายของเจ้าหนี้เอง​ หรือการพักหนี้เกษตรกร​ โรคระบาดก็คือภัยธรรมชาติอย่างหนึ่งเหมือนกัน

ถ้าลูกหนี้เป็นแบบนี้แล้วไปไกล่เกลี่ยที่ศาลตามสัญญา​ปรับโครงสร้างหนี้​ เราควรมีรหัสสถานะบัญชีใหม่เป็น​ 50 : ชำระหนี้ตามคำพิพากษาตามยอมเนื่องจากได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาด​ COVID-19 แยกออกมาจากการเป็นหนี้เสียแบบปกติดีไหมครับ​ 

 สถาบันการเงินไหนคิดจะปล่อยกลุ่มนี้เมื่อมองจากศักยภาพ​ การค้ำประกัน​ และประวัติชำระดีที่ผ่านมาก็สามารถทำได้​ เนื่องจากมีข้อมูล​ชัดเจน​ ผู้เขียนคิดว่ามันน่าสนใจ​ สามารถทำได้​ และน่าจะช่วยลูกค้าได้ในที่สุด

 

กฎกติกาเมื่อผ่านวันเวลา​ ผ่านเงื่อนไขเหตุการณ์​ ควรปรับเปลี่ยนให้เป็นเครื่องมือสำหรับระบบสถาบันการเงินในการให้ความช่วยเหลือคนที่กำลังตกทุกข์ได้ยาก​เวลานี้ครับ

 

ขอบคุณมากครับ

ลงทุนให้ปัง สร้างความมั่นคงทางการเงิน 5 ชั้นเป็นของขวัญส่งท้ายปี

ลงทุนให้ปัง สร้างความมั่นคงทางการเงิน 5 ชั้นเป็นของขวัญส่งท้ายปี

อีกไม่กี่สัปดาห์ก็จะหมดปี 2563 ถือเป็นอีกปีที่เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงมีเป้าหมายที่ตนเองวางไว้มากมาย บ้างก็ทำสำเร็จ บ้างก็ยังไม่ได้เริ่ม แต่อย่างไรก็ตามเราควรใช้เวลาที่เหลืออยู่นี้ให้คุ้มค่ามากที่สุดในทุก ๆ เรื่อง ทั้งการงาน การใช้ชีวิต รวมไปถึงเรื่องการวางแผนการเงิน และการลงทุนด้วย

สำหรับใครที่ยังไม่เริ่มวางแผนการเงิน และการลงทุนสามารถเริ่มลงมือลงทุน สร้างความมั่นคงทางการเงินแบบ 5 ชั้นได้ตั้งแต่วันนี้เลยนะคะ ถือว่าเป็นของขวัญให้กับตนเองส่งท้ายปี และเริ่มต้นอนาคตที่ดีในปีหน้านั่นเองค่ะ

ชั้นที่ 1 – เริ่มต้นวางเป้าหมายการลงทุน

การเริ่มต้นลงทุนชั้นแรกก่อนเดินขึ้นไปชั้นต่อ ๆ ไป คือการวางเป้าหมายในการลงทุน และสำรวจความพร้อมของตนเอง ระบุเจาะจงไปว่า เราลงทุนไปเพื่ออะไร เราจะลงทุนใช้เวลานานเท่าไหร่ เช่น ต้องการลงทุนระยะยาว เพื่อใช้ยามหลังเกษียณ หรือลงทุนระยะสั้น เพื่อใช้ไปศึกษาเรียนต่อต่างประเทศ คอร์สอบรม เป็นต้น

ชั้นที่ 2 – ศึกษาข้อมูลการลงทุนหลากหลายรูปแบบ

การศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุนจะช่วยให้เราสามารถเลือกระดับความเสี่ยง และความเหมาะสมในการลงทุนได้ เพราะรูปแบบการลงทุนมีให้เลือกมากมาย เช่น กองทุนรวม หุ้น ประกันชีวิต ทองคำ เป็นต้น ซึ่งทุกการลงทุนล้วนแต่เป็นสิ่งที่ความเสี่ยง จำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานเพื่อนำมาปรับใช้ในการลงทุนที่ตรงกับความต้องการและความสนใจของตนเอง

ชั้นที่ 3 – กำหนดระดับความเสี่ยงที่รับได้

เมื่อศึกษาข้อมูลการลงทุนพร้อมในระดับหนึ่ง เราก็จะต้องมากำหนดระดับความเสี่ยงในการลงทุนของเราว่าสามารถรับได้ในระดับเท่าไหร่

ตัวอย่างเช่น ระดับความเสี่ยงต่ำ เหมาะกับการลงทุนแบบฝากประจำ ฝากออมทรัพย์ดอกเบี้ยสูง , ระดับความเสี่ยงปานกลาง เหมาะกับการลงทุนแบบพันธบัตรรัฐบาล กองทุนตราสารหนี้ , ระดับความเสี่ยงสูง เหมาะกับการลงทุนแบบ กองทุนหุ้นต่างประเทศ หุ้น เป็นต้น

รวมไปถึงจัดลำดับความสำคัญของรูปแบบการลงทุน สภาพคล่องทางการเงิน เพื่อที่ว่าในยามฉุกเฉินเราจะสามารถนำเงินในส่วนนี้ออกมาใช้ได้ค่ะ

ชั้นที่ 4 – จัดพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง

หลังจากที่ศึกษาข้อมูล และเช็กระดับความเสี่ยงของตนเองแล้ว ก็ต้องมาเริ่มออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับตนเอง โดยเลือกจากระดับความเสี่ยงที่รับได้ และผลตอบแทนที่ต้องการ ความคุ้มค่าต่อการลงทุน จากนโยบายการลงทุน เงินปันผลที่ได้รับของแต่ละสถาบันการเงิน

ชั้นที่ 5 – ติดตามการลงทุนอย่างสม่ำเสมอ

ทุกการลงทุนควรจะมีการตรวจสอบผลการลงทุนอย่างสม่ำเสมอว่าเป็นไปตามที่เราวางเป้าหมายไว้หรือไม่ เพราะการลงทุนมีปัจจัยที่เปลี่ยนแปลงไปได้ตลอดเวลา ทั้งเรื่องเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ เงินฝืด ที่อาจส่งผลกระทบให้เราได้รับผลตอบแทนไม่ได้ดั่งที่หวัง

มารู้จัก Nudge Theory ทฤษฎีผลักดัน ที่ช่วยเก็บเงินแบบปัง ๆ ไปยาว ๆ

มารู้จัก Nudge Theory ทฤษฎีผลักดัน ที่ช่วยเก็บเงินแบบปัง ๆ ไปยาว ๆ

“เคยเป็นไหม ? เก็บเงินไม่ค่อยอยู่ เพราะเริ่มเบื่อกับวิธีการเก็บเงินแบบเดิม ๆ”

เพราะบางครั้งการเก็บเงินแต่ละทีจะต้องมีแรงผลักดัน หรือแรงกระตุ้นให้เรารู้สึกอยากเก็บเงิน แต่พอไม่มีสิ่งที่เป็นตัวกระตุ้นที่หนักมากพอก็จะทำให้แผนการเงินของเราล้มเหลวไปโดยปริยาย ทฤษฎี Nudge Theory จึงได้กลายมาเป็นหนึ่งในทฤษฎีการออมเงิน ที่จะช่วยให้คุณเก็บเงินแบบปัง ๆ วางแผนการเงินได้แบบยาว ๆ

Nudge Theory หรือทฤษฎีผลักดัน เป็นทฤษฎีของดร.ริชาร์ด เอช. เธอเลอร์ ผู้คิดค้นทฤษฎีเกี่ยวกับการออกแบบสถานการณ์ หรือทางเลือก แต่ไม่ใช่การบังคับฝืนใจ เพื่อให้เราผลักดันทำให้สิ่งที่ต้องการ ซึ่งเมื่อนำมาปรับใช้กับในเรื่องของการเงินก็จะช่วยให้เรามีแรงผลักดัน สามารถไปสู่เป้าหมายได้ตามต้องการได้อย่างง่าย ๆ  เพราะโดยปกติคนเรามักจะไม่ชอบเรื่องของการบีบบังคับ หรือฝืนใจทำในสิ่งที่ตนเองไม่ชอบ ทฤษฎีนี้ก็จะมาช่วยปรับใช้กับการออมเงินของเราได้ ด้วย 4 วิธีนี้ค่ะ

  1. เมื่อทำถึงเป้าหมายต้องให้รางวัลกับตัวเอง

หากเราเริ่มต้นการออมเงินมาได้ระยะหนึ่ง สิ่งที่จะช่วยให้เราจะสามารถออมเงินต่อไปได้คือการให้รางวัลเล็ก ๆ น้อย ๆ กับตัวเอง เพื่อสร้างกำลังใจ หรือแรงผลักดันในการออมต่อ ๆ ไป เพราะหากเราออมเงินแบบตึงเกิน ก็อาจทำให้ไม่มีความสุขกับการออม แต่ถ้าหากหย่อนไปก็อาจทำให้ไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้ช้าลง ฉะนั้นจึงควรมีทางสายกลางเพื่อสร้างแรงผลักดันในการออมเงินต่อไปได้

  1. ปรับเปลี่ยนไลฟ์สไตล์ประจำวันให้เป็นคนใหม่

การค่อย ๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันทีละนิดนั้น จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายทางการเงินที่วางไว้ได้เร็วขึ้น เพราะเราจะต้องปรับพฤติกรรม ไลฟ์สไตล์ให้สอดคล้องกับเป้าหมายของเรานั่นเอง เช่น วางเป้าหมายเก็บเงินแสนให้ได้ภายใน 1 ปี เราก็จะเริ่มปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงิน ลดการใช้จ่ายฟุ่มเฟือย และใช้จ่ายอย่างระมัดระวังมากขึ้น เป็นต้น

  1. จัดทำบัญชีแยกเป็นส่วน ๆ

การแยกเงินออกเป็นส่วน ๆ ออกในแต่ละบัญชี จะช่วยให้เราจดจำได้ว่าแต่ละบัญชีเราจะใช้เงินไปกับอะไร เช่น บัญชีเงินเดือน บัญชีเงินเก็บ บัญชีค่าใช้สำหรับชีวิตประจำวัน บัญชีสำหรับการลงทุน บัญชีสำหรับการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่งการแยกเงินออกเป็นส่วน ๆ เช่นนี้จะช่วยให้เงินไม่กระจุกอยู่ที่เดียว ช่วยให้เราไม่เผลอใช้ไปจนหมด และยังเป็นแรงผลักดันให้เราหาเงินมาเก็บออมเยอะ ๆ ได้อีกด้วย

  1. เช็กยอดเงินในบัญชีอย่างสม่ำเสมอ

การเช็กเงินในบัญชีซ้ำ ๆ ถือเป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง เพราะการที่เราเห็นจำนวนตัวเลขในบัญชีจะเป็นการสร้างแรงผลักดันให้เราอยากออมเงินมากยิ่งขึ้น และไม่เผลอตัวไปใช้จ่ายฟุ่มเฟือย หรือสิ่งของที่ไม่จำเป็น

สุดท้ายนี้ Nudge Theory ก็เป็นเพียงหนึ่งในทฤษฎีที่จะช่วยสร้างแรงผลักดันให้การออมเงินของเราไปถึงเป้าหมายที่กำหนดไว้ แต่เป้าหมายทั้งหมดคงจะสำเร็จไม่ได้หากเราไม่มีการปรับพฤติกรรม และสร้างวินัยทางการเงินอย่างสม่ำเสมอนั่นเองค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก https://www.krungsri.com/bank/th/krungsri-consumer/moneymatters/nudge-theory.html

ปรับนิสัย เปลี่ยนวินัยทางการเงินด้วยทฤษฎี 21 วัน ต้อนรับปีใหม่ 2564

ปรับนิสัย เปลี่ยนวินัยทางการเงินด้วยทฤษฎี 21 วัน ต้อนรับปีใหม่ 2564

“ทฤษฎี 21 วัน เปลี่ยนวินัยทางการเงินได้ตลอดกาล”

ทฤษฎี 21 วัน หรือ 21-Day Habit Theory เป็นทฤษฎีของ Dr.Maxwell Maltz เขาได้เขียนทฤษฎีนี้ลงในหนังสือ “Psycho-Cybernetics” หนังสือเกี่ยวกับจิตวิทยาที่ว่าด้วยเรื่องของการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม นิสัยของตัวเอง โดยเริ่มจากการวางเป้าหมาย เพื่อทำบางสิ่งบางอย่างต่อเนื่องกันเป็นเวลา 21 วัน เมื่อครบระยะเวลาที่กำหนดก็จะทำให้สิ่งที่เราทำตลอด 21 วันติดกลายมาเป็นนิสัย

อย่างในเรื่องของการเงินที่ต้องหมั่นสร้างวินัยทางการเงินอย่างสม่ำเสมอ เราก็สามารถนำทฤษฎี 21 วันมาปรับใช้ในเรื่องของการสร้างวินัยทางการเงินได้เช่นกันค่ะ

  1. จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายต่อเนื่องกันทุกวัน

ข้อดีของการจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย จะช่วยให้เราเห็นรอยรั่วทางการเงินของตัวเองว่าหมดค่าใช้จ่ายไปกับอะไรบ้าง ซึ่งหากเราทำเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้เรามีสติในการใช้จ่าย และมีความรอบคอบเรื่องการเงินมากขึ้น

  1. หยอดเหรียญใส่กระปุกวันละ 10-20 บาท

หากหักดิบออมเงินทีละมาก ๆ ไม่ได้ เราสามารถเริ่มต้นออมเงินทีละเล็ก ๆ ได้โดยเริ่มจากการออมวันละ 10-20 บาท ตลอดเนื่องเป็นเวลา 21 วัน การเริ่มต้นออมละเล็กละน้อย จะช่วยให้เรามีกำลังใจในการออมต่อไป และต้องการไปถึงเป้าหมายที่วางไว้โดยเร็ว โดยการเพิ่มจำนวนเงินที่ออมนั่นเองค่ะ

  1. ลดการใช้จ่ายที่ฟุ่มเฟือย

ถ้ารู้ตัว่าเป็นคนใช้เงินเก่ง ชอบชอปปิง ต้องเริ่มปรับนิสัยด้วยทฤษฎี 21 วัน โดยเริ่มจากการลดซื้อของที่ไม่จำเป็นต่อชีวิตประจำวัน เช่น ค่าเครื่องดื่ม เสื้อผ้า กระเป๋า ที่ซื้อมาแล้วแต่ไม่ได้ใส่ เป็นต้น แม้กระทั่งการซื้อของตามกระแสด้วยเช่นกัน ซึ่งถ้าหากสามารถลดได้เป็นเวลา 21 วัน ติดต่อกัน จะทำให้เรารู้สึกว่าไม่อยากได้ของเหล่านั้น เพราะไม่จำเป็นต่อชีวิตมากนัก

  1. เปลี่ยนจากบัตรมาจ่ายเงินสด

ช้อปเร็ว โอนไว เห็นของอยากได้ รูดบัตรทันที พฤติกรรมเช่นนี้ต้องรีบปรับด่วนโดยใช้ทฤษฎี 21 วัน เข้ามาช่วยค่ะ โดยเริ่มจากลองปรับจากการใช้บัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือ Mobile Banking มาเป็นการพกเงินสดแทน แต่เงินสดก็ต้องพกจำนวนทีละน้อย ๆ เช่นกันนะคะ

การนำทฤษฎี 21 วัน มาปรับใช้ในเรื่องของการเงินนอกจากจะช่วยสร้างวินัยทางการเงินที่ดีต่อตัวเองแล้ว ยังข่วยให้เรามีสติ คิดก่อนใช้เงินมากขึ้นด้วย แต่ท้ายที่สุดทฤษฎีก็จะเป็นเพียงแค่คำบอกกล่าวต่อ ๆ ไป หากเราไม่เริ่มสร้างวินัยทางการเงินที่จริงจังต่อตัวเอง

แหล่งอ้างอิง

https://www.freeletics.com/en/blog/posts/is-21-days-all-it-takes/#:~:text=The%20theory,to%20seeing%20their%20new%20face

หนังสือ Psycho-Cybernetics

โสดคูล ๆ การเงินชิค ๆ กับเทคนิคการเงินสไตล์คนโสดที่ต้องรอดถึงเกษียณ

โสดคูล ๆ การเงินชิค ๆ กับเทคนิคการเงินสไตล์คนโสดที่ต้องรอดถึงเกษียณ

เกิดเป็นคนโสดยุคนี้ต้องสตรอง! ทั้งเรื่องการงาน การใช้ชีวิต รวมไปถึงเรื่องการเงินเราต้องดูแลตัวเองให้ไหว แต่ถ้าเรามีการจัดการวางแผนการเงินที่ดี เรื่องความโสดก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเราจะสามารถใช้ชีวิตเกษียณได้อย่างสบาย ๆ ไม่ต้องง้อใคร

แต่จากสถิติและการคำนวณคร่าว ๆ ที่ผ่านมาพบว่า ประชากรคนโสดควรมีเงินเก็บราว ๆ เกือบ 10 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ดูห่างไกลจากความเป็นจริงค่อนข้างมากเลยทีเดียว ฉะนั้นเราจึงควรมีการวางแผนการเงินอย่างจริงจัง ให้เหมาะสม ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ชีวิตของคนโสดแต่ละคน โดยเริ่มจากสำรวจตัวเราเองว่าเป็นคนแบบไหน มีไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตอย่างไร แล้วมาวางแผนการเงินตามเทคนิคการเงินสไตล์คนโสดต่อไปนี้กันค่ะ

– แบ่งเงินเป็น 3 ส่วน จ่าย เก็บ แอบ

พื้นฐานของการวางแผนการเงินคือการเก็บก่อนใช้แล้วลงทุน ซึ่งวิธีการนี้ก็จะคล้าย ๆ กัน คือ

‘จ่าย’ เท่าที่จำเป็น ที่สุด

‘เก็บ’ ออมให้ได้มากที่สุด

‘แอบ’ หลาย ๆ บัญชีให้เงินเหลือไว้น้อยที่สุด

ซึ่งการแบ่งเงินเป็น 3 ส่วนเช่นนี้ จะช่วยสร้างวินัยทางการเงินของเราไปโดยปริยาย

– เงินฉุกเฉิน เงินสำรองต้องเตรียมพร้อม

สิ่งที่คนโสดหลายคนชะล่าใจคือ ไม่เตรียมพร้อมสำรองเงินสำหรับอนาคต เมื่อเกิดเหตุฉุกเฉินจึงต้องพึ่งพาหยิบยืมคนอื่น จนเกิดเป็นหนี้สิน ฉะนั้นเพื่อป้องกันปัญหานี้ เหล่าโสดควรมีเงินสำรอง 3-6 เท่า ของภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน

– พลังของเงินลงทุน เห็นผลหลังเกษียณ

เส้นทางสู่การไปถึงเงินล้านหลังเกษียณคือการลงทุน และลงทุนเท่านั้น เพราะการลงทุนมีผลตอบแทนที่จะช่วยให้เราไปถึงเป้าหมายที่วางไว้ได้รวดเร็วขึ้น ยิ่งหากมีผลตอบแทนรายปีที่สูงก็ยิ่งได้เปรียบ เช่น หุ้นต่างประเทศ ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยรายปีสูงถึง 10-15% ต่อปี เป็นต้น แต่ทั้งนี้เราจะต้องเลือกการงลงทุนที่เหมาะสมกับตัวเอง และสามารถรับความเสี่ยงได้ด้วยเช่นกัน เพราะจากที่เราจะมีความสุขหลังเกษียณ อาจจะต้องมาเครียดเพราะหลังเกษียณไม่มีเงินใช้ก็ได้นะคะ

– จัดการเรื่องที่พักอาศัยให้เรียบร้อยก่อนเกษียณ

เหล่าคนโสดที่กู้ซื้อบ้าน คอนโด หรือที่พักอาศัยต่าง ๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่ควรเร่งเคลียร์ภาระหนี้สินที่มีให้หมดโดยเร็วที่สุด เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นหลังเกษียณให้ได้มากที่สุด หรือลดขนาดที่พักอาศัยของตัวเองลงให้เหมาะสมกับไลฟ์สไตล์ชีวิตหลังเกษียณ

– ซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพ       

เพราะไม่มีคนดูแลต้องดูแลตัวเอง การซื้อประกันชีวิตและประกันสุขภาพเป็นทางเลือกที่จะช่วยคุ้มครองชีวิตของเราได้ในยามเจ็บไข้ได้ป่วย ทั้งยามก่อนและหลังเกษียณ เพราะมีการจ่ายค่ารักษาพยาบาลให้เมื่อเราเข้าโรงพยาบาล และเบี้ยประกันที่จ่ายน้อยหากทำไว้ตั้งแต่เนิ่น ๆ

เทคนิคการเงินสไตล์คนโสด อาจไม่ได้มีความแตกต่างจากการวางแผนในรูปแบบอื่น ๆ แต่สิ่งสำคัญของการวางแผนการเงินสำหรับคนโสดนั่นคือ การวางเป้าหมายในอนาคตหลังเกษียณอย่างชัดเจน พร้อมที่เดินหน้าไปคนเดียวอย่างไม่หวาดกลัว และพร้อมที่จะสร้างวินัยทางการเงินก่อนที่จะสายเกินไปนั่นเองค่ะ

เรื่องน่าอ่าน