Blog Page 83

How to ‘โต’ ในยุคหนี้ท่วม

How to ‘โต’ ในยุคหนี้ท่วม

โดยคุณสุรพล โอภาสเสถียร ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด

จะปรับตัวต่อวิกฤติการณ์หนี้ท่วมในปัจจุบันนี้อย่างไร เพื่อสร้างโอกาสและช่องทางในการเติบโต

3 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้ครูไทย ห่างไกลหนี้

3 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้ครูไทย ห่างไกลหนี้

ในวันที่หนี้ครูไทย พุ่งไกลกว่า 1.2 ล้านล้านบาท !

อะไรที่ทำให้ครูไทยเป็นหนี้ เพราะเงินเดือนน้อย รายจ่ายมาก เพราะระบบที่เอื้อต่อการกู้ หรือเพราะค่านิยมทางสังคม

มนุษย์ต่างวัยชวนมาฟังจากปากคำของครูรุ่นใหม่ ร่วมด้วย ดร.อัจฉรา โยมสินธุ์ อาจารย์ประจำภาควิชาการเงิน คณะบริหารธุกิจ ม.กรุงเทพ ที่จะมาวิเคราะห์สาเหตุ พร้อมชี้ 3 วิธีง่าย ๆ ที่จะทำให้ครูไทย ห่างไกลหนี้

ครูรุ่นใหม่ หัวใจพอเพียง ปลูกผักสลัดขายเป็นรายได้เสริมนอกเหนือจากการสอน

รายงานตัวเลขหนี้ครูในปัจจุบันชี้ให้เห็นว่า มีครูเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ไม่เป็นหนี้ และหากเราจะมองหาครูที่เป็นทั้งนักวางแผนทางการเงิน
ขวนขวายสร้างรายได้เสริม ใช้จ่ายไม่เกินตัว ก็คงจะยิ่งมีน้อยลงไปอีก

‘ครูแบงค์’ เจนณรงค์ นบนอบ ครูรุ่นใหม่ วัย 32 ปี เป็นหนึ่งในนั้น
ครูแบงค์เป็นครูสอนวิชาดนตรีมา 6 ปี เขาไม่เคยเป็นหนี้สักบาท มีชีวิตแบบพออยู่ พอกิน พอประมาณ สร้างภูมิคุ้มกันด้วยการ
ทำอาชีพเสริม ด้วยการปลูกผักสลัดขาย จนสามารถสร้างรายได้เสริมต่อเดือนกว่า 30,000 บาท และมีเงินเก็บจากการทำอาชีพเสริมถึง 200,0000 บาท ไปติดตามวิธีคิดของ “ครูรุ่นใหม่หัวใจพอเพียง” ที่น่าจะเป็นแบบอย่างให้กับครูรุ่นใหม่ได้ ในคลิปนี้เลย

เป็นครูอย่างไร ไม่ให้เป็นหนี้

ในวันที่ครูไทยกว่า 80 % ต้องเป็นหนี้ มนุษย์ต่างวัย

ชวนคุณมารู้จักกับ ครูดวงใจ วัฒนมะโน วัย 63 ปี ต้นแบบครูไทยที่ไม่เพียงลอยตัวพ้นปัญหาหนี้สิน แต่ยังเกษียณออกมาฟิน ๆ เพราะมีเงินออมมากกว่า 2 ล้านบาท

แม้ครูดวงใจจะเริ่มต้นอาชีพด้วยเงินเดือนเพียง 1080 บาท แต่เมื่อศึกษาจนฉลาดในการลงทุน บั้นปลายชีวิตเลยไม่ต้องว้าวุ่นกับเรื่องเงินทอง

พบกับ 3 เคล็ดลับของครูดวงใจ ที่จะมาไขข้อข้องใจ เป็นครูอย่างไร ไม่ให้เป็นหนี้

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : Digital​ Ploan​ คำย่อในเวลานี้ของสินเชื่อส่วนบุคคลแบบดิจิทัล : วันจันทร์ที่ 21 กันยายน 2563

Digital​ Ploan​ คำย่อในเวลานี้ของสินเชื่อส่วนบุคคลแบบดิจิทัล

ทันทีที่มีการเปิดตัว​ เกณฑ์สินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล (Digital Personal Loan) ออกมา เพื่อส่งเสริมให้

1.ประชาชนเข้าถึงบริการทางการเงินในระบบได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่ไม่มีรายได้ประจำ กลุ่มที่ไม่สามารถพิสูจน์รายได้ชัดเจน และกลุ่มที่ไม่มีทรัพย์สินที่สามารถใช้เป็นหลักประกัน ในส่วนนี้คนที่ทำงานด้านนโยบายสินเชื่อจะเรียกกลุ่มนี้ว่า​ lnvisible Banking Service หรือกลุ่มที่สถาบันการเงินมองไม่เห็นจึงไม่สามารถส่งมอบบริการทางด้านสินเชื่อด้วยต้นทุนและผลตอบแทนที่คุ้ม/มีกำไร​ ยังมีอีกพวกคือ​ ​Thin File Customers กลุ่มคือพวกที่มีประวัติ/ข้อมูล​น้อยเกินไปที่จะทำการประเมินความเสี่ยงได้​ คำถามคือด้วยกลไก​ กติกา​ และข้อมูล​แนวจารีต (Traditional Data) ที่ใช้กันในปัจจุบันล้วนเป็นอุปสรรค/คือไม่มี/คือไม่เพียงพอในการประเมินความเสี่ยงในการให้กู้​ แม้ว่าจำนวนเงินนั้นจะไม่ได้มากมาย เช่น ให้กู้​ 20,000 บาทระยะเวลาคืนไม่เกิน​ 6 เดือน​ ดอกเบี้ยแพงก็ตาม

2.มีการประเมินความเสี่ยงก่อนการตัดสินใจให้สินเชื่อ​ ความเสี่ยงที่ต้องมีการประเมินคือ
2.1​ ลูกค้ารายนี้คือคนเดียวกันกับที่ตัวลูกค้าบอกว่าฉันคือคนนี้​ หรือ​ Who are who you say you are
2.2 ลูกค้ารายนี้มีความสามารถในการหาเงินจากแหล่งไหน​ อย่างไร​ เอามาชำระหนี้​ หรือ​ Ability to pay
2.3 ลูกค้ารายนี้มีความตั้งใจ/เต็มใจระดับไหนในการจะเอาเงินที่ยืมไปมาคืนให้เจ้าหนี้ตามสัญญา​ หรือ​ Willingness to pay
2.4 ลูกค้ารายนี้ไม่มีหลักประกันอะไรที่จะให้เจ้าหนี้ถือเอาไว้กันการเบี้ยวหนี้หรือ​ กู้มือเปล่านั่นเอง

3.ส่งเสริมให้มีการนำเอาเทคโนโลยีแบบดิจิทัลมาใช้ในการทำงานทุกขั้นตอนแบบชาญฉลาด​ แบบว่าตลอดเส้นทางการให้บริการเริ่มตั้งแต่​ สมัครสินเชื่อ​ การแสดงตนของลูกค้า​ การพิสูจน์​และยืนยันตัวตน​ ในตัวลูกค้า​ การให้ความยินยอม​ การตกลงเข้าทำสัญญา​ การลงนามทางอิเล็กทรอนิกส์ ​ กระเป๋าเงินดิจิทัลหรือสมุดเงินฝากดิจิทัลเพื่อการรับโอนเงินกู้จากสถาบันการเงินผู้ให้บริการ

4.ส่งเสริมให้ใช้ข้อมูล​ทางเลือกอื่นหรือ​ Alternative​ Data ที่สามารถจัดหามาได้และมีความเชื่อถือสูงมากๆ จากแหล่งต่างๆ​ เข้ามาใช้ในการประเมินความเสี่ยง เช่น​ ข้อมูลการโอนเงินชำระเงิน​ ข้อมูลจากการใช้สาธารณูปโภค เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การจะนำเอาข้อมูล​นี้มาใช้ในระบบต้องปฏิบัติให้เป็นไปตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล และในประเด็นเดียวกันทางการก็ผ่อนผันให้สถาบันการเงินคนปล่อยกู้ไม่ต้องยึดติดกับสลิปเงินเดือน​ กระแสเงินเข้าออกผ่านบัญชีเงินฝาก​ ตามแนวจารีตที่ทำติดต่อกันมาบนความทันสมัยแบบ​ดิจิทัล 0.4 ถึง​ 3.0 อีกต่อไปถ้าจะให้บริการสินเชื่อประเภทนี้

5. ส่งเสริมสถาบันการเงินที่ประสงค์​จะให้บริการต้องดำเนินการยื่นขออนุมัติ​ อนุญาต​ ตลอดจนการรายงานต่างๆเพื่อการกำกับดูแลของหน่วยงานทางการ​ โดยมีทั้งเกณฑ์​คุณสมบัติ​ เกณฑ์​ความสามารถ​ และเกณฑ์​ความคิดสร้างสรรค์​ในการนำเอาข้อมูลทางเลือก (Alternative Data) เป็นข้อมูลประกอบในการพิจารณาสินเชื่อ​ ตามสมมติฐาน​ ตามแบบจำลอง (Model)​

เป้าหมายที่อยากเห็นคือ​ คนที่สถาบันการเงินมองไม่เห็นเพราะกติกาเก่าซึ่งประเมินไม่ได้​ จะสามารถเป็นลูกหนี้เงินกู้ที่ดีในกติกาใหม่เพิ่มเติมนี้ได้อย่างเป็นสาระสำคัญในอนาคตดังความเห็นที่ปรากฏตามสื่อต่างๆ เช่น

ท่านผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ให้ข้อมูล​ที่น่าสนใจมากอย่างยิ่งว่า สินเชื่อประเภทนี้จะช่วยให้ประชาชนสามารถขอสินเชื่อบนฐานข้อมูลที่หลากหลายขึ้น จากเดิมที่ต้องใช้สลิปเงินเดือนยื่นขอสินเชื่อ ขณะที่ผู้ให้บริการทางการเงินก็สามารถใช้ข้อมูลของลูกค้าบนดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพื่อประเมินความเสี่ยง อาทิ การชำระค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ รายได้หรือพฤติกรรมการซื้อขายออนไลน์ เป็นต้น​ ทั้งนี้ทางการได้ออกหลักเกณฑ์ให้ผู้ประกอบการเริ่มทำธุรกิจสินเชื่อบุคคลดิจิทัลได้แล้ว โดยผู้ประกอบการที่มีใบอนุญาตสินเชื่อบุคคลอยู่แล้ว หากต้องการทำสินเชื่อบุคคลดิจิทัล จะต้องแจ้งมาที่ ธปท. และแสดงให้เห็นว่ามีระบบงานพร้อมรองรับ ก็สามารถปล่อยกู้ได้ ส่วนผู้ที่ยังไม่มี ใบอนุญาตสินเชื่อบุคคล ก็สามารถขอใบอนุญาตทำธุรกิจสินเชื่อบุคคล เพื่อทำธุรกิจนี้ได้ ในกรณีที่มีความพร้อมเข้าเกณฑ์ที่กำหนด

ในฟากฝั่งของผู้ประกอบการ​ธุรกิจการให้สินเชื่อส่วนบุคคลต่างออกมาตอบรับกับพัฒนาการครั้งนี้พร้อมไปกับการเปิดตัวในงาน​ Bangkok Fintech​ Fair 2020 อย่างคึกคัก ตัวอย่างเช่น
ผู้บริหารระดับสูง ของธนาคารพาณิชย์ ระบุว่าได้ศึกษาแนวทางการปล่อยสินเชื่อส่วนบุคคลดิจิทัล โดยเตรียมความพร้อมทางด้านเทคโนโลยีและ ขีดความสามารถทางด้านเทคโนโลยีในการวิเคราะห์ข้อมูลของลูกค้าในหลากหลายมิติ เพื่อนำมาประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ได้แก่ กลุ่มลูกค้ารายย่อยของธนาคาร (Exiting client)

ด้านผู้บริหารระดับสูงของบริษัทบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคลรายใหญ่ได้ระบุว่า​ บริษัทมีการศึกษาและวางระบบ เพื่อรองรับการปล่อยสินเชื่อออนไลน์ไว้แล้ว อย่างไรก็ดี การปล่อยสินเชื่อออนไลน์เต็มรูปแบบ 100% ยังต้องรอเรื่องการพิสูจน์และยืนยันตัวตนทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-KYC) รวมถึงในเรื่องลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ (e-Signature) กระบวนการการปล่อยสินเชื่อ และการบริหารจัดการความเสี่ยง ให้สอดรับกับอัตราดอกเบี้ย อย่างไรก็ดี เราได้เตรียมโครงสร้างพื้นฐาน ไว้รองรับแล้ว

สำหรับคู่แข่งอีกรายซึ่งเป็นผู้เล่นรายใหญ่ในตลาด​ Consumer banking ก็ระบุว่าการปล่อยสินเชื่อ เราจะต้องมีการพิจารณาจากข้อมูลด้านอื่นๆ หรือเรียกว่า Information based lending ประกอบด้วย เช่น วิเคราะห์ประวัติการซื้อสินค้าออนไลน์ การชำระค่าสาธารณูปโภค เป็นต้น

แน่นอนว่าในช่วงเวลาที่เหลือของปี​ 2563​ นี้เราๆ ท่านๆ จะได้เห็นการพัฒนาระบบร่วมกับแบบพันธมิตรระหว่างธุรกิจซื้อขายออนไลน์ (e-Commerce) รายใหญ่ กับธนาคารพาณิชย์​เพื่อร่วมกันปล่อยสินเชื่อบุคคลดิจิทัล
“เราจะเจาะลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ซื้อหรือเป็นผู้ขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ของพันธมิตร โดยการเข้าไปเป็นทางเลือกในการชำระเงินค่าสินค้า จากเดิมที่ลูกค้าจะชำระผ่านบัตรเดบิต บัตรเครดิต หรือกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ก็จะมีการเพิ่มเป็นสินเชื่อให้ลูกค้ามีเงินไปจ่ายหรือไปซื้อของมาขาย”

COVID-19 ​คือตัวเร่งให้เกิดการพัฒนาจริงๆ​ เรื่องที่คุยกันไม่ตกผลึกเช่น​ e-KYC e-Consent e-Signature e-Contract การให้บริการแบบไม่พบเห็นต่อหน้า​ หรือเรื่องข้อมูล​ทางเลือกก็เกิดขึ้นได้​ ย้อนหลังไปให้หวนนึกถึงคำมั่นของวิทยากรทั้งหลายทั้งปวงในวันเปิดตัวสมาคมฟินเทคประเทศไทยที่เวทีแถวถนนรัชดาภิเษก​ ต้องขอบคุณโรคระบาดในปลายปี​ 2019​ จริงๆ ที่มาผลักดันคำพูดในหลายปีก่อนมาเป็นจุดเริ่มที่จะเป็นจริงในปี​ 2020

5 พลังมหัศจรรย์ เพิ่มพลังการออม เตรียมพร้อมก่อนเกษียณ

5 พลังมหัศจรรย์ เพิ่มพลังการออม เตรียมพร้อมก่อนเกษียณ

5 พลังมหัศจรรย์ เพิ่มพลังการออม เตรียมพร้อมก่อนเกษียณ

บางครั้งชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ กว่าจะประสบความสำเร็จในแต่ละอย่างไม่ใช่เรื่องง่าย การออมเงินก็เช่นเดียวกันค่ะ เพราะกว่าเราจะเดินไปถึงเป้าหมายที่วาง หรือกว่าจะไปถึงแผนชีวิตเกษียณที่ตั้งไว้ก็ต้องมีล้มลุกคลุกคลาน หรือหมด Passion ในการเก็บออมบ้างเป็นเรื่องธรรมดา แต่อย่างที่มีคนเคยบอกไว้ค่ะ เหนื่อยได้ ท้อได้แต่ห้ามถอย เมื่อเริ่มรู้สึกว่าตนเองกำลังจะหมดพลัง หมดแพชชั่นในการออม เราต้องรีบปลุกพลังในตัวขึ้นมาค่ะ เพราะถ้าพลังหมดจนเป็นศูนย์เมื่อไหร่ แผนการเงินที่วางไว้เพื่อใช้ยามหลังเกษียณจะลำบากอย่างแน่นอน

และสำหรับใครที่เริ่มหมดพลัง  และยังไม่รู้ว่าจะเดินหน้าไปถึงเป้าหมายชีวิตในวัยเกษียณได้อย่างไร ลองเพิ่มพลังการออมตามนี้กันดูนะคะ

พลังที่ 1 พลังความพยายาม

เวลาที่พลังการออมเริ่มลดน้อยลง อยากให้ลองนึกย้อนกลับไปมองเส้นทางที่เราพยายามมาจากจุดเริ่มต้นค่ะ กว่าที่เราจะเดินมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะฉะนั้นเมื่อเดินมาแล้วต้องไปถึงให้สุดค่ะ ให้กำลังใจตนเองสม่ำเสมอ พยายามเดินไปให้ถึงแผนที่วางไว้ และในท้ายที่สุดความพยายามที่เราสร้างมาจะไม่สูญเปล่าแน่นอนค่ะ

พลังที่ 2 พลังระยะเวลา

ความสำเร็จต้องใช้เวลาฉันใด การออมเงินก็ต้องใช้เวลาฉันนั้นค่ะ และยิ่งออมเร็วมากเท่าไหร่ก็ยิ่งรวยเร็วมากเท่านั้น หลายคนมักคิดว่าอยากจะมีเงินเยอะ ๆ แต่กลับไม่ให้เวลาให้เงินเติบโตงอกเงย หรือหวังรวยทางลัดในแบบผิด ๆ แผนชีวิตหลังเกษียณที่คิดว่าจะสุขสบายก็เป็นเรื่องยากแล้วล่ะค่ะ ดังนั้นหากต้องการใช้ชีวิตสุขสบายในยามเกษียณ ก็ต้องให้เวลาในการออมมาก ๆ เพราะยิ่งให้เวลาการออมนานเท่าไหร่ ยิ่งได้ผลตอบแทนกลับที่มาที่ดียิ่งขึ้นนะคะ

พลังที่ 3 พลังผลตอบแทน

แต่หากคิดว่าเรื่องของระยะเวลายังไม่ใช่การเพิ่มพลังในการออมที่ดี ลองเพิ่มพลังด้วยผลตอบแทนกันดูค่ะ เพราะสำหรับบางคนอาจไม่ได้มีระยะเวลาในการออมที่ยาวนานมากพอที่จะไปถึงเป้าหมายการเงินที่วางไว้ได้ แต่อัตราผลตอบแทนจากการออมและการลงทุน จะช่วยให้เงินก้อนเล็ก ๆ ที่เราลงไปเติบโตกลายเป็นเงินก้อนโตได้ เพียงแค่เราต้องรู้จักเลือกการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น กองทุนรวม หุ้น เป็นต้น แต่อย่าลืมนะคะว่ายิ่งได้ผลตอบแทนสูง ความเสี่ยงก็สูงตามมา ดังนั้นก่อนจะลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้ดีก่อน เพราะพลังของผลตอบแทนที่ดีที่สุดคือการออมเงินและลงทุนอย่างไม่ประมาท

พลังที่ 4 พลังเป้าหมายในอนาคต

เป้าหมายและความฝันเป็นพลังเพิ่มการออมเงินชั้นดี ยิ่งถ้าหากเราวางเป้าหมายไว้ยิ่งใหญ่ จะยิ่งช่วยเพิ่มพลังให้เรามีแรงผลักดันในการออมเงินมากขึ้น เพราะเราจะยิ่งอยากไปถึงเป้าหมายที่วางไว้อย่างโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะการวางแผนเกษียณ เชื่อว่าทุกคนคงอยากมีชีวิตเกษียณที่สุขสบาย ฉะนั้นเราจึงควรนำเป้าหมายที่เพื่อเพิ่มพลังการออมให้ชีวิตสุขสบายในอนาคต

พลังที่ 5 พลังเก็บเล็กผสมน้อย

หลายคนอาจคิดว่าการออมเงินเงินเพื่อใช้หลังเกษียณจะต้องออมเยอะ ๆ ในแต่ละเดือน ซึ่งพอคิดแบบนี้ก็อาจส่งผลให้เรารู้สึกหมดพลัง หมดกำลังใจที่จะเก็บออมเงิน แต่ในความเป็นจริงแล้วเราสามารถออมเงินเพื่อไปถึงยามเกษียณไปด้วยจำนวนเงินที่เล็ก ๆ ได้ค่ะ

ตัวอย่างเช่น

นางสาวมีทรัพย์ อายุ 30 ปี วางแผนเกษียณตอนอายุ 60 ปี ถ้าหากนางสาวมีทรัพย์เริ่มออมเงินเดือนละ 5,000 บาท ลงทุนที่ได้อัตราผลตอบแทน 2% ต่อปี  เป็นระยะเวลา 30 ปี เมื่ออายุครบ 60 ปี นางสาวมีทรัพย์จะมีเงินออมจำนวน 2,434,085 บาท

ทุกครั้งที่เริ่มรู้สึกหมดพลัง หมดกำลังใจในการออม ก็สามารถเพิ่มพลังการออมจากวิธีเหล่านี้ได้เลยนะคะ เริ่มการให้กำลังใจตนเอง ให้ระยะเวลาสร้างผลตอบแทนจนเติบโตเพื่อไปถึงแผนเกษียณที่วางไว้ในอนาคต แค่เริ่มจากการเก็บออมด้วยจำนวนเงินที่เล็ก ๆ เพียงเท่านั้นค่ะ

4 วิธีคุมเข้มรายจ่าย หยุดวงจรชีวิต “เดือนชนเดือน”

4 วิธีคุมเข้มรายจ่าย หยุดวงจรชีวิต “เดือนชนเดือน”

ในแต่ละวัน แต่ละเดือน เราต้องสูญเสียเงินกันไปเท่าไหร่กับรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เชื่อว่าหลาย ๆ คนเมื่อมีเสียงแจ้งเตือนดังขึ้นพร้อมกับข้อความที่บอกว่า เงินเข้าบัญชีแล้ว คงดีใจกันไม่น้อยเลยใช่ไหมคะ เพราะถือเป็นช่วงเวลาที่เราจะได้นำเงินไปใช้จ่ายในสิ่งที่เราต้องการอย่างสบายใจ ซึ่งปัญหาที่ตามมานั่นก็คือ เงินไม่พอใช้ในแต่ละเดือน หรือใช้ชีวิตแบบเดือนชนเดือน นั่นเองค่ะ การใช้ชีวิตแบบนี้ในทุก ๆ  เดือนจะส่งผลให้ในอนาคตของเราไม่มีเงินเก็บ ไม่มีวินัยทางการเงินที่ดี

เพราะฉะนั้น 4 วิธีอุดรายจ่ายนี้จะมาช่วยหยุดปัญหาการใช้เงินแบบเดือนชนเดือน ช่วยลดรายจ่ายที่ฟุ่มเฟือยให้มีเงินเหลือเก็บอย่างแน่นอนค่ะ

  1. จดบันทึกรายรับ-รายจ่ายอย่างสม่ำเสมอ

ข้อดีของการจดบันทึกรายรับ-รายจ่าย คือเราสามารถรู้ได้ว่าในแต่ละเดือนมีรายรับเข้ามาเท่าไหร่ และใช้ออกไปเท่าไหร่ ซึ่งง่ายต่อการจัดประเภทค่าใช้จ่าย  และง่ายต่อการควบคุมลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น จุดเริ่มต้นง่าย ๆ เพียงแค่พกสมุดเล็ก ๆ กับปากกาติดตัวไว้ตลอด เมื่อมีการจ่ายอะไรออกไปก็จดลงไปในแต่ละวัน หรืออาจจะมีแอปพลิเคชั่นรายรับ-รายจ่ายโหลดติดไว้ในเครื่องก็ได้เช่นกันค่ะ วิธีนี้จะช่วยให้เห็นภาพรวมรายจ่ายในแต่ละเดือน และช่วยให้เรามีเงินเก็บเพิ่มขึ้นได้ค่ะ

  1. ตั้งกฎเหล็กในการใช้จ่ายอย่างชัดเจน

หากต้องการที่จะจัดการายจ่ายแต่ละเดือนให้อยู่หมัดและมีเงินเก็บเพิ่มเร็ว ๆ  สิ่งสำคัญที่ควรทำคือ ตั้งกฎเหล็กค่าใช้จ่ายให้ชัดเจน ลิสต์แต่ละข้อว่าในแต่ละเดือนจะมีรายจ่ายอะไร และกำหนดจำนวนเงินของรายจ่ายนั้น ๆ เช่น ค่าอาหาร 5,000 บาทต่อเดือน, ค่าความบันเทิง 2,500 บาทต่อเดือน, ค่าเดินทาง 4,000 บาทต่อเดือน, ฉุกเฉิน 2,000 บาทต่อเดือน, เงินออมและเงินลงทุน 3,000 บาทต่อเดือน เป็นต้น ซึ่งการตั้งกฎด้วยการกำหนดจำนวนเงินแต่ละเดือนเช่นนี้จะช่วยให้เรารู้จักควบคุมรายจ่ายไม่ให้เกินกว่าที่กำนดไว้ได้ค่ะ

  1. รู้จักเปรียบเทียบราคาก่อนซื้อ

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยมีพฤติกรรมที่ชอบเปรียบเทียบสินค้าที่มีความคล้ายกันก่อนซื้อไม่มากก็น้อย เพื่อต้องการได้สินค้าที่ราคาถูก และมีคุณภาพดี ซึ่งพฤติกรรมเช่นนี้ถือเป็นข้อดีค่ะ ถือเป็นการสร้างวินัยทางการเงินอย่างหนึ่งด้วย ช่วยให้เรารู้จักการเปรียบเทียบและหาสิ่งที่เหมาะสมกับตัวเรา และเป็นการควบคุมรายจ่ายแต่ละเดือนไปในตัว ฉะนั้นหากต้องการจะเริ่มต้นควบคุมรายจ่ายในแต่ละเดือนวิธีการเปรียบเทียบสินค้าก็เป็นทางเลือกที่ดีนะคะ

  1. ตั้งสติก่อนใช้สตางค์

กว่าจะหาเงินมาแต่ละบาทไม่ใช่เรื่องง่าย ก่อนที่จะใช้จ่ายอะไรจึงจำเป็นที่จะต้องคิดให้ดีก่อนค่ะ โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพงเกินกว่ารายรับ หรือสินค้าที่ไม่ได้มีความจำเป็นนักในชีวิตประจำวันของเรา แม้กระทั้งป้ายเซลล์สินค้า โปรโมชั่นลดราคาต่าง ๆ ที่มาล่อใจให้ซื้อ เพราะเมื่อลองคำนวณค่าใช้จ่ายให้ดีแล้วอาจไม่คุ้มกันแน่นอน ฉะนั้นหากไม่อยากให้เกิดรอยรั่วในกระเป๋า เราจึงจะต้องควบคุมรายจ่าย อุดรอยนั้นไว้ไม่ให้ร้าวขึ้นมานั่นเองค่ะ

แนวทางการควบคุมรายจ่าย หยุดการใช้เงินเดือนชนเดือนนี้เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น สิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยหยุดรายจ่ายฟุ่มเฟือยต่าง ๆ ได้คือการควบคุมตนเอง สร้างวินัยทางการเงินและวางแผนการเงินในแต่ละเดือนอย่างรัดกุม หากทำได้เราจะมีอิสรภาพการเงินในชีวิตที่ดีอย่างแน่นอนค่ะ

คอลัมน์ เครดิตบูโรคิดเป็นเห็นต่าง : “จ่ายหนี้บริษัทตามหนี้ที่ถูกต้อง” หนังสือพิมพ์เดลินิวส์ ฉบับวันศุกร์ 18 กันยายน 2563

จ่ายหนี้บริษัทตามหนี้ที่ถูกต้อง

บทความของผมในวันนี้จะเป็นการชี้แจงข้อเท็จจริง ขั้นตอนการดำเนินการ และสิ่งที่ท่านผู้อ่านที่อาจพบปัญหาดังกล่าว โดยผมได้เอาเนื้อหามาจากสิ่งที่มีการสอบถามผ่านช่องทางต่างๆ ว่า เมื่อตนเองมีหนี้ที่ค้างชำระกับสถาบันการเงิน ต่อมาสถาบันการเงินได้โอนขายหนี้ที่ค้างชำระหนี้รายการนี้ออกไปให้กับบริษัทติดตามหนี้ หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ บริษัทที่รับซื้อหนี้ไปจากสถาบันการเงินก็จะจ่ายเงินค่าซื้อหนี้รายการนั้นโดยอาจจะซื้อหนี้แบบมีส่วนลดก็ได้ เช่น มูลหนี้ตามสิทธิตามบัญชีเท่ากับ 100บาทเขาอาจซื้อในราคา 50-60 บาท จะมากจะน้อยขึ้นอยู่กับว่าเขาจะไปตามหนี้ที่ซื้อมานั้นได้ยากหรือง่าย ตามตัวอย่าง ถ้าเขาไปตามหนี้นั้นมาได้ 70 บาท จากลูกหนี้ที่ไม่ยอมชำระกับสถาบันการเงิน บริษัทติดตามหนี้ หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ก็จะมีกำไร 10 บาท

 ตัวลูกหนี้เองเมื่อได้ชำระหนี้กับบริษัทติดตามหนี้ หรือบริษัทบริหารสินทรัพย์แล้วก็จะถือว่า เข้าใจว่าตนเองไม่ได้เป็นหนี้เป็นสินกับสถาบันการเงินที่ตนเองค้างชำระไม่ยอมจ่าย และตนเองก็ไม่มีหนี้กับบริษัทที่รับซื้อหนี้มาอีกต่อไป เวลานี้อาจอยากจะไปทำธุรกิจธุรกรรมกับใครต่อใครก็ย่อมทำได้ไม่มีข้อห้าม แต่คนที่เราอยากจะไปทำธุรกิจธุรกรรมด้วยนั้น เขาอยากจะทำด้วยหรือไม่ก็เป็นสิทธิของเขานะครับจะไปบังคับเขาให้ทำตามแต่ใจเราอยากได้ อยากให้เป็นไม่ได้นะครับ

ลองมาดูคำถามจากคนที่เขาไปชำระหนี้ที่บริษัทติดตามหนี้สินเพราะเขาถูกทวงถาม เขาถูกเสนอให้ชำระหนี้ที่อาจน้อยกว่าที่ตนเองค้างชำระไว้กับสถาบันการเงินก็ได้ เรื่องมีดังนี้

เมื่อผมได้รับแจ้งว่าหนี้ของผมที่มีการค้างชำระกับ Non Bank แห่งหนึ่งนั้นได้ถูกขายถูกโอนมายังบริษัทติดตามหนี้ชื่อ… (ขออนุญาตไม่ระบุนาม)… ต่อมาผมได้เจรจาจนตกลงชำระหนี้ให้ครบถ้วน เสร็จสมบูรณ์ซึ่งยอดหนี้ที่ชำระนั้นต่ำกว่าหนี้ที่ผมเคยมีอยู่กับสถาบันการเงิน ประกอบกับผมสามารถระดมเงินมาจ่ายได้ ผมจึงตัดสินใจชำระหนี้ตามยอดที่ตกลงกันและได้โอนเงินไปให้ พร้อมเก็บใบนำฝาก-Pay in ไว้เป็นหลักฐานเรียบร้อย ผมสบายใจมากขึ้นและตั้งใจจะไปขอสินเชื่อกับธนาคารแห่งหนึ่งเพื่อมาทำทุนดำเนินธุรกิจต่อไป จากวันที่ผมโอนเงินผมรอ 45 วันจึงได้รับหนังสือยืนยันการชำระหนี้และปิดบัญชีกับบริษัทติดตามหนี้ (หนังสือไม่ได้บอกว่าผมปิดบัญชีกับ Non Bank นะครับอันนี้ผู้เขียนขอแจ้ง)

 หลังจากนั้นผมได้สอบถาม Non Bank ปรากฏว่า ผมยังมีประวัติว่าเคยเป็นหนี้ Non Bank อยู่ มาตรวจสอบประวัติเครดิตบูโร ในรายงานแสดงสถานะ 42 โอนหรือขายหนี้ให้กับนิติบุคคลหรือบริษัทบริหารสินทรัพย์ แต่มียอดหนี้คงค้างเท่ากับ 0 บาท เมื่อติดต่อไปที่บริษัทติดตามหนี้ ก็ได้คำแนะนำว่าให้ผมนำใบปิดบัญชีที่บริษัทตามหนี้ออกให้ มาดำเนินการที่เครดิตบูโร แต่เมื่อไปติดต่อยื่นเรื่องกับเครดิตบูโรแล้วทำไมไม่แก้ข้อมูลที่ผมมีกับ Non Bank ว่าปิดบัญชี ทำไมทำไม่ได้ครับ

 เครดิตบูโรขอเรียนตอบอย่างนี้นะครับ

1. Non Bank ขายหนี้ออกไปและได้รับชำระค่าซื้อหนี้จากบริษัทติดตามหนี้แล้ว ยอดหนี้จึงเป็นศูนย์ ตามหนี้กับลูกหนี้ที่ค้างชำระไม่ได้แล้วเพราะสิทธิเรียกร้องได้โอนไปยังบริษัทติดตามหนี้แล้ว ที่เขาระบุในบัญชีนั้นว่าโอนหนี้

2. ตัวลูกหนี้ไปจ่ายหนี้กับคนที่ซื้อหนี้มา ดังนั้นก็ปิดบัญชีกับเจ้าหนี้คนปัจจุบัน ได้เอกสารมาว่ายืนยันการชำระหนี้แต่ตัวลูกหนี้ต้องดูเอกสารดีๆนะครับว่าเอกสารนั้นต้องระบุว่ารับรองการชำระหนี้ ไม่มีหนี้ต่อกัน ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่าใบรับรองปิดบัญชี ที่เข้าใจผิดคิดว่าเอาเอกสารข้อเสนอให้ชำระหนี้กับใบนำฝากหรือ Pay in มาประกอบกันไม่ได้นะครับ

3. เนื่องจากบริษัทติดตามหนี้ไม่ได้เป็นสมาชิกเครดิตบูโร เขาจึงส่งเอกสารข้อมูลมาให้ไม่ได้ เพราะเขาไม่มีหน้าที่ เขาได้แต่แนะนำ และเขาควรจะแจ้งจะแนะนำตั้งแต่ตอนต้น เพื่อป้องกันการเข้าใจผิด

4. ตัวลูกหนี้เอาเอกสารใบรับรองการปิดบัญชีมาที่เครดิตบูโร เครดิตบูโรจะบันทึกข้อมูลไว้เหนือบัญชีของ Non Bank ว่าหนี้ตามบัญชีนี้ได้ถูกขายออกไปให้กับบริษัทติดตามหนี้ ต่อมาลูกหนี้ได้ชำระหนี้ มีการรับรองว่าไม่มีหนี้ต่อกันแล้ว ตามความจริง

5. เวลาจะไปขอเงินกู้ที่ใหม่ก็แล้วแต่ เขาว่าจะพิจารณาพร้อมเรื่องอื่นๆ เช่น รายได้ อาชีพ ความมั่นคง ภาระต่างๆ หลักประกันรวมมาถึงประวัติการชำระหนี้ เขาก็จะเห็นข้อมูลทั้งหมดตามข้อ 4 ครับ

 เล่ามาถึงตรงนี้ท่านผู้อ่านคงจะมองออกนะครับว่า เครดิตบูโรให้ข้อมูลตามจริง การวิเคราะห์ว่าจะให้หรือไม่ให้ เครดิตบูโรไม่ได้ร่วมพิจารณา ไม่มีอำนาจไปยุ่งเกี่ยวครับ เป็นเรื่องคนที่ขอกู้กับคนที่ให้กู้โดยแท้จริงครับ

เศรษฐกิจคิดง่ายๆ (ดิจิทัล) : จะคิดใหม่ในโลกใหม่​ได้ ต้องทิ้งนิสัยเก่า ความคิดเก่า ธรรมเนียมเก่า และวัฒนธรรมเก่า : วันจันทร์ที่ 14 กันยายน 2563

จะคิดใหม่ในโลกใหม่​ได้ ต้องทิ้งนิสัยเก่า ความคิดเก่า ธรรมเนียมเก่า และวัฒนธรรมเก่า

ตั้งแต่เราได้เจอกับไวรัสตัวใหม่ที่ชื่อ​ COVID​-19 นับแต่เดือนกุมภาพันธ์​ 2563 ยันมาจนเดือนกันยายนปีนี้​ และคาดว่าจะต้องอยู่กับเขาแบบยังไม่มีวัคซีน​ จนมีการค้นพบวัคซีน​ และมีการผลิต/แจกจ่ายกันจนทั่วโลก​ 7.6 พันล้านคน​ อาจต้องใช้เวลาถึงปลายปี​ 2565​ ขณะที่สำนักวิจัยของธนาคารกรุงไทยระบุว่า​ การท่องเที่ยวจะฟื้นตัวกลับมาอาจต้องใช้เวลา​ 3-4 ปี​ สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) บอกกับเราว่าต้องอยู่กับเขาน่าจะ​ 3 ปี​ จนเมื่อเร็วๆ นี้เรารักษาสถิติไม่พบผู้ติดเชื้อในประเทศ​จบที่​ 101 วัน​(ไม่ทะลุสถิติ​ 105 วัน) นักเศรษฐศาสตร์​ที่มีชื่อเสียงบางท่านบอกว่า​ เราจะค่อยๆ ฟื้นตัวหากไม่มีการระบาดใหญ่ในแบบทุลักทุเล​ ประการสุดท้ายการขยายตัวของเศรษฐ​กิจโลกน่าจะไม่เกิน​ 3% การค้าการขายน่าจะไม่คึกคัก​ คำว่าการปรับตัวอาจไม่เพียงพอไปแล้ววันนี้​ มีรุ่นพี่ผู้เขียนซึ่งเก่งมากๆและเป็น​ CEO ของอุตสาหกรรม​ขนาดใหญ่ของประเทศบอกว่า​ ในชีวิตนี้ไม่นึกว่าต้องสั่งหยุดสายการผลิตของโรงงานเพื่อป้องกันชีวิตคนงานทั้งหมดท่ามกลางเสียงคัดค้านก่อนมีการปิดเมือง​ พอปิดเมืองจริง​ คนที่ค้านต่างกลับมาเห็นด้วยและยอมรับความจริง​ รุ่นพี่ท่านนี้บอกกับผมว่า​ เรากำลังอยู่ในโลกใบใหม่​ ที่ไม่เหมือนเดิม​ และจะไม่มีวันเหมือนเดิม​ เราทุกคนเหมือนคริสโตเฟอร์ โคลัมบัสที่ค้นพบโลกใหม่​ ต้องทำอย่างไรจึงจะอยู่​กับชนพื้นเมืองแบบไม่ต้องฆ่าฟันกัน​ เมื่อไปถามผู้คนระดับผู้นำองค์กร​ หรือผู้บริหารระดับสูง​ขององค์กร​ จะพบคำตอบว่า​ บริหารงานแบบรักษาตัวตามอาการ​ ไม่วางแผนยาว​ เน้นการปฏิบัติที่ปลอดภัยของคนในบังคับ​บัญชา​พร้อมกับการไปสู่เป้าหมายเดือนต่อเดือน​ เดินทีละก้าว​ กินข้าวทีละคำ​ ประการสุดท้ายแกบอกกับผู้เขียนว่า​ จะเกษียณ​ก่อนกำหนดแน่นอน​ เพื่อเอาเวลาที่เหลืออยู่​ในชีวิตออกเดินทางท่องเที่ยวทั่วประเทศไทยให้ครบทุกจังหวัดตามความฝันที่เคยตั้งเป้าหมายไว้เมื่อเริ่มทำงานใหม่ๆ​ ผู้เขียนถามว่าทำไมจะต้องรีบขนาดนั้น​ คำตอบคือ​ ชีวิตยังมีอะไรต้องทำมากกว่าการแบกภาระในหน้าที่การงานอันเป็นสิ่งสมมติ​ ตอนนี้เราเจอ​ COVID-19 เดี๋ยวเราต้องเจอ​ COVID-22​ หรือ​ COVID​-25​ แน่ๆ ไม่ปีใดก็ปีหนึ่ง​ สำหรับเราๆ ท่านๆ ที่ยังมีภาระต้องแบกหาม​ ยังต้องดำเนินชีวิตกันต่อ​ ฝภายใต้สถานการณ์​ โรคซ้ำกรรมซัด​ วิบัติเป็น​ มิเห็นที่พึ่งพาจะอาศัย​ ก็ต้องขออนุญาต​หารือว่า​ แนวทางที่จะเดินเผชิญกรรมต่อไปในวันพรุ่งนี้และวันต่อๆ ไปที่เรียกว่า​ ชีวิตวิถีใหม่​ หรือชีวิตในนิยามใหม่​ หรือชีวิตในความปกติใหม่​ ก็ต้องทำอย่างน้อย​ 3-4 อย่างดังนี้

1.ทิ้งนิสัยเก่า​ นิสัยที่บอกว่าอะไรก็ได้​ นิสัยที่ยังไงก็ได้​ นิสัยที่ว่าเดี๋ยวค่อยทำก็ได้​ นิสัยที่ว่าการเรียนรู้ใหม่จะทำให้เกิดความเหน็ดเหนื่อย​ ต้องเลิกครับ​ ยืนยันว่าต้องเลิก​ คำว่าต้องกันไว้ก่อน​ ชิงลงมือก่อน​ อดเปรี้ยวไว้กินหวาน​ อดทนไม่กินใช้สิ้นเปลืองเพื่อเก็บออมมาใช้ยามจำเป็นต้องออกกำลังกายให้ร่างกายแข็งแรง​ จะต้องถูกนำมาใช้ในการปฏิบัติตนประจำวันเลยทีเดียว

2.ความคิดเก่า​ต้องเลิก​ ความคิดที่ว่าข้าอาบน้ำร้อนมาก่อนต้องจบ​ หรือเชื่อว่าคนมีประสบการณ์​ในอดีตจะเกิดความสำเร็จ​ในอนาคตไม่จริงอีกต่อไป​ หรือเชื่อพี่เถอะเรื่องแบบนี้ไม่มีทางจะเกิดขึ้น​ หรือการดูถูกคนรุ่นใหม่​ คนทำงานใหม่ว่า​ พวกคุณ​จะไปรู้อะไรกับโลกในปัจจุบัน​ ที่จริงแล้วคือคนพูดนั้นได้ตกยุคไปแล้ว​ การเล่นไลน์​เป็น​ การยกเอาเรื่องในยูทูปมาบรรยาย​ว่าตนเองรู้เรื่องนั่นนี่แล้วจะถือว่าตนเองทันยุคทันสมัย​ คงจะเป็นได้เพียงการสะกดจิต​ตัวเองว่าฉันเก่ง​ ฉันรู้​ เท่านั้น​ ความคิดใหม่วันนี้น่าจะเป็นว่า​ กระบวนการคิด​ การเรียนรู้​ที่จะคิดต่อจากคนคิดต่างโดยไม่ติดกับดักความคิดเดิมๆ ของตนคือสิ่งที่สำคัญที่สุด​ เพราะเรากำลังอยู่ในโลกที่เรา​ “ไม่รู้ว่าเราไม่รู้อะไร”

3.ธรรมเนียมเก่า​บางสิ่งอาจต้องเลิกโดยสิ้นเชิง​ เช่น ธรรมเนียมการประชุมที่ขาดการโต้แย้ง​ ฟังหัวโต๊ะอย่างเดียวต้องเลิก​ คนที่อยู่หน้างาน​ อยู่กับลูกค้าคือคนที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดว่า​ CEO ควรต้องสั่งการอะไรออกไป​ งานจึงจะจบแบบสวยๆ​ การศึกษาที่ได้รับจากสถาบันในอดีต​ เกรดหรือปริญญาในอดีตอาจไม่สำคัญกว่าจินตนาการของคนที่อยู่หน้างาน​ หรือคนที่พบเจอ​ pain point ของลูกค้า

4.วัฒนธรรมเก่าต้องเลิก​ นายว่าขี้ข้าพลอย​ เชื่อผู้ใหญ่หมาไม่กัด​ เดินตามหลังผู้ใหญ่สบายกว่า​ ได้ครับพี่​ ดีครับนาย​ สบายครับผม​ เหมาะสมครับท่าน​ ต้องเลิกและต้องเลิกให้ได้ในองค์กร​หากคิดจะรอดจากไวรัสที่กำลังทำร้ายการมีกิจกรรมทางเศรษฐกิจ​ระหว่างกัน​ วัฒนธรรม​ที่เลวร้ายที่สุด​ ที่จะต้องรีบดำเนินการทำลายให้หมดสิ้นก็คือ​ ทำมากผิดมาก​ ทำน้อยผิดน้อย​ ไม่ทำก็ไม่ผิด​ หายใจทิ้งไปวันๆ​ แบบไม่คิดอะไร​ มีหัวเอาไว้คั่นหูสองข้างไม่ให้ติดกันก็พอ​ คงยากที่จะรอดจากการมีชีวิตการงานในอนาคต​ ตัวอย่างเช่น​ ถึงวันนี้การทำงานจากที่พักอาศัย/บ้าน​ อาจให้ประสิทธิภาพ​และลดต้นทุนขององค์กร​ได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ​ ความเชื่อที่ว่าถ้าอยู่บ้านแล้วไม่มีทางจะมีสมาธิทำงานได้ไม่มีอีกต่อไปแล้ว​ การประชุมที่คณะกรรมการมีทั้งที่มาประชุมและที่ประชุมทางไกลเข้ามาได้กลายเป็นวัฒนธรรม​การทำงานวิถีใหม่ไปแล้วเวลานี้

จะคิดใหม่ในโลกใหม่​ได้ ต้องทิ้งนิสัยเก่า ความคิดเก่า ธรรมเนียมเก่า และวัฒนธรรมเก่า​ เพราะถ้าเราติดกับดักในความคิด​ ความรู้สึก​ ความรู้เรื่องตามที่เชื่อๆ กันมา​ สอนๆ กันมา​ นอกจากเราจะไม่ได้คิดใหม่ในโลกใหม่​ เราอาจจะต้องอยู่กับความทุกข์​ในโลกเก่าใบเดิม​ ที่ที่เคยให้ความสุขกับเรายามที่ไม่ต้องปรับปรุง​ เปลี่ยนแปลงตัวเอง​
ขอบคุณ​ครับ

เรื่องน่าอ่าน